แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ป.รัษฎากร มาตรา 12 ให้อธิบดีกรมสรรพากรมีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรค้างได้โดยมิต้องขอให้ศาลออกหมายยึดหรือสั่ง อันเป็นการกระทำที่ถือได้ว่ามีผลเป็นอย่างเดียวกับการฟ้องคดีให้จำเลยชำระภาษี จึงเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (5)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน 2535 จำเลยมีรายรับจากการขายที่ดินแต่มิได้นำรายรับดังกล่าวไปยื่นแบบแสดงรายการภาษีธุรกิจเฉพาะ โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยไปยื่นแบบแสดงรายการภาษีธุรกิจเฉพาะและชำระภาษี เบี้ยปรับกับเงินเพิ่มรวม 3 ครั้ง จำเลยได้รับหนังสือโดยชอบแต่มิได้ไปพบเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีของโจทก์และยื่นแบบแสดงรายการภาษีธุรกิจเฉพาะแต่อย่างใด เจ้าพนักงานประเมินจึงได้ประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะที่จำเลยต้องชำระเป็นเงินรวม 1,059,984 บาท และมีหนังสือแจ้งการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะให้จำเลยทราบโดยชอบโดยวิธีปิดหนังสือแจ้งการประเมิน จำเลยมิได้ชำระภาษีดังกล่าวและมิได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ จึงเป็นภาษีอากรค้างอันเป็นหนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน โจทก์สืบหาทรัพย์สินของจำเลยแต่ไม่พบว่าจำเลยมีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำรหนี้ และได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้รวม 2 ครั้ง ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน จำเลยได้รับหนังสือโดยชอบแต่ไม่ชำระหนี้และเป็นบุคคลที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้ล้มละลาย
จำเลยให้การว่า สิทธิเรียกร้องของโจทก์เริ่มนับแต่วันที่จำเลยขายอสังหาริมทรัพย์แต่ละแปลงไป แต่โจทก์มิได้ฟ้องจำเลยภายในอายุความ 10 ปี นับแต่วันเกิดสิทธิเรียกร้อง คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลล้มละลายกลางพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่อุทธรณ์โต้แย้งรับฟังได้ว่า ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน 2535 จำเลยมีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์รวม 10 รายการ และมีหน้าที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะในอัตราร้อยละ 3 ของรายรับตามประมวลรัษฎากร มาตรา 91/2 (6) และมาตรา 91/6 (3) แต่จำเลยไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีธุรกิจเฉพาะพร้อมชำระภาษี มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ โจทก์มีนายอนันต์ให้ถ้อยคำตามบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นประกอบเอกสารหมาย จ.4 ถึง จ.22 ได้ความว่า เมื่อโจทก์ตรวจสอบพบว่าจำเลยไม่นำรายรับจากการขายอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวไปยื่นแบบแสดงรายการภาษีธุรกิจเฉพาะ โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยไปยื่นแบบแสดงรายการภาษีธุรกิจเฉพาะและชำระภาษีแต่จำเลยเพิกเฉย เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2545 เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 91/15 (1), 91/16 (1) และ 91/21 (6) ประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับรายรับของจำเลยในเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน 2535 พร้อมเบี้ยปรับเงินเพิ่ม และภาษีบำรุงท้องถิ่นเป็นเงินรวม 1,059,894 บาท และได้มีหนังสือแจ้งการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะให้จำเลยทราบแล้วโดยชอบ แต่จำเลยไม่ชำระภาษีดังกล่าวและมิได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เห็นว่า จำเลยมีรายรับจากการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไรในเดือนกรกฎาคม 2535 จำนวน 3,400,000 บาท เดือนสิงหาคม 2535 จำนวน 1,800,000 บาท และเดือนกันยายน 2535 จำนวน 2,829,500 บาท ซึ่งตามประมวลรัษฎากร มาตรา 91/10 จำเลยมีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีธุรกิจเฉพาะและชำระภาษีภายใน 15 วัน ของเดือนถัดไป คือ ภายในวันที่ 15 สิงหาคม 2535 วันที่ 15 กันยายน 2535 และวันที่ 15 ตุลาคม 2535 ตามลำดับ แต่จำเลยมิได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีธุรกิจเฉพาะ ซึ่งตามประมวลรัษฎากร มาตรา 91/15 (1) ให้เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มได้ เมื่อเจ้าพนักงานประเมินได้ทำการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะ เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และภาษีบำรุงท้องถิ่นสำหรับเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน 2535 เป็นเงินภาษี 448,800 บาท 237,600 บาท และ 373,494 บาท ตามลำดับ และได้แจ้งการประเมินดังกล่าวให้จำเลยทราบโดยชอบเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2545 โดยวิธีปิดหนังสือแจ้งการประเมิน ณ ภูมิลำเนาของจำเลย ดังนี้ การที่เจ้าพนักงานของโจทก์ได้ส่งหนังสือแจ้งการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะทั้งสามฉบับไปให้จำเลย ณ ภูมิลำเนาของจำเลยซึ่งตรงกับภูมิลำเนาตามฟ้องโดยวิธีปิดหนังสือแจ้งดังกล่าวเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2545 ซึ่งยังอยู่ภายในกำหนดเวลา 10 ปี นับแต่วันที่จำเลยมีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีธุรกิจเฉพาะและชำระภาษีดังกล่าวจึงเป็นกรณีที่เจ้าพนักงานของโจทก์ได้ปฏิบัติตามประมวลรัษฎากร มาตรา 8 และ 18 ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ถือได้ว่าโจทก์ได้แจ้งการประเมินภาษีให้จำเลยทราบโดยชอบ เมื่อจำเลยมิได้อุทธรณ์การประเมิน เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจหน้าที่บังคับในการจัดเก็บภาษีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 18 ตรี ต่อไป ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยเป็นหนี้ภาษีอากรค้างอันอาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 1,000,000 บาท และประมวลรัษฎากร มาตรา 12 ให้อธิบดีมีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรค้างได้โดยมิต้องขอให้ศาลออกหมายยึดหรือสั่ง อันเป็นการกระทำที่ถือได้ว่ามีผลเป็นอย่างเดียวกับการฟ้องคดีให้จำเลยชำระภาษี จึงเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 (5) และเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2545 เป็นต้นไป ซึ่งจะครบกำหนดอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/31 ในวันที่ 5 สิงหาคม 2555 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2548 ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลล้มละลายกลางวินิจฉัยว่าคดีขาดอายุความแล้วพิพากษายกฟ้องมานั้นจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น และเพื่อให้กระบวนพิจารณาดำเนินไปโดยเร็ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาต่อไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนคืนไปยังศาลล้มละลายกลางว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพันตัวหรือไม่ นายอนันต์พยานโจทก์ยังให้ถ้อยคำตามบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นประกอบเอกสารหมาย จ.23 ถึง จ.25 ได้ความว่าโจทก์สืบหาทรัพย์สินของจำเลยโดยตรวจสอบไปยังกรมการขนส่งทหารบก ธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารพาณิชย์อื่นๆ อีก 5 แห่ง สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร และสาขาต่างๆ รวม 15 แห่ง แต่ไม่พบว่าจำเลยมีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ ทั้งโจทก์ได้มีหนังสือแจ้งเตือนให้จำเลยนำเงินภาษีอากรค้างไปชำระรวม 2 ครั้ง จำเลยได้รับหนังสือทวงถามโดยชอบแต่ไม่ชำระหนี้ พฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 8 (5) ว่ามีหนี้สินล้นพ้นตัว จำเลยมีหน้าที่นำพยานหลักฐานมาสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าว แต่ทางนำสืบของจำเลยไม่ปรากฏว่าจำเลยมีทรัพย์สินใด ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว ทั้งกรณีไม่มีเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย จึงสมควรพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด”
พิพากษากลับ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 14 ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์โดยหักจากกองทรัพย์สินของจำเลย เฉพาะค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร