คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6323/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 50 เม็ดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบแสดงพยานหลักฐานต่อศาลให้เห็นว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวไว้เพื่อจำหน่าย จำนวนเมทแอมเฟตามีนที่ยึดได้มีเพียง 50 เม็ดมีปริมาณสารบริสุทธิ์ไม่ถึง 20 กรัม จึงไม่อาจสันนิษฐานได้ว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย พยานโจทก์อ้างว่าสืบทราบว่าจำเลยมีพฤติการณ์ลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่บ้านจำเลย แทนที่พยานโจทก์จะใช้วิธีล่อซื้อแต่กลับขอเพียงหมายค้นบ้านจำเลยเท่านั้น ส่วนพยานโจทก์ที่ทำการซุ่มดูและเห็นจำเลยและวัยรุ่นส่งมอบของให้กันก็ไม่ยืนยันว่าสิ่งของที่ส่งมอบกันนั้นเป็นอะไรทั้งในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาจำเลยก็ให้การปฏิเสธ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นว่าจำเลยจำหน่าย จ่าย แจก หรือมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 50 เม็ด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องให้นับโทษต่อจากคดีก่อน แต่ศาลชั้นต้นไม่นับโทษต่อให้เพราะคดีดังกล่าวศาลยังไม่ได้พิพากษา เมื่อโจทก์ฎีกาขอให้นับโทษต่อโดยอ้างว่าคดีก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วโดยพิพากษาลงโทษจำคุก จำเลยไม่ได้แก้ฎีกาหรือฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงฟังได้ว่าศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยในคดีดังกล่าวแล้วจริง ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้นับโทษต่อได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2541เวลากลางคืน จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 50 เม็ด น้ำหนัก 4.60 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เหตุเกิดที่ตำบลกกแก้วบูรพา อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยได้พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีนและแจกันทองเหลืองบรรจุเมทแอมเฟตามีน 1 ใบ ไว้เป็นของกลาง เมทแอมเฟตามีนหมดไปในการตรวจพิสูจน์จำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1866/2542 ของศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 67ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ริบแจกันทองเหลือง นับโทษของจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1866/2542 ของศาลชั้นต้น

จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่งจำคุก 6 ปี จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุม เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี ส่วนที่โจทก์ขอให้ริบแจกันทองเหลืองนั้น เห็นว่า แจกันดังกล่าวไม่ใช่ทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดจึงไม่ริบให้ยกคำขอส่วนนี้ ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1866/2542 ของศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่า คดีดังกล่าวศาลยังไม่มีคำพิพากษา จึงยังไม่มีโทษจำคุกที่จะนับโทษต่อได้จึงให้ยกคำขอส่วนนี้

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง,67 จำคุก 5 ปี คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุก 3 ปี 4 เดือน ข้อหาอื่นให้ยกนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

โจทก์และจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยได้พร้อมกับยึดเมทแอมเฟตามีนจำนวน 50 เม็ด และแจกันทองเหลืองบรรจุเมทแอมเฟตามีนจำนวน 1 ใบ เป็นของกลาง ได้ส่งของกลางไปตรวจพิสูจน์ที่กองกำกับการวิทยาการเขต 1 สำนักงานวิทยาการตำรวจผลการตรวจปรากฏว่าเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดเมทแอมเฟตามีน…ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 50 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 50 เม็ดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องนำสืบแสดงพยานหลักฐานต่อศาลให้เห็นว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน50 เม็ด ไว้เพื่อจำหน่าย จำนวนเมทแอมเฟตามีนที่ยึดได้ก็มีเพียง50 เม็ด ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจำเลยจะมีไว้เพื่อจำหน่ายเสมอไป พยานโจทก์อ้างว่าสืบทราบว่าจำเลยมีพฤติการณ์ลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่บ้านจำเลย แทนที่พยานโจทก์จะได้ใช้วิธีการล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยแต่ก็หาได้ทำไม่ กลับขอเพียงหมายค้นบ้านจำเลยเท่านั้นจึงน่าสงสัยว่าพยานโจทก์จะสืบทราบว่าจำเลยมีพฤติการณ์ลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่บ้านจำเลยจริงหรือไม่ ส่วนพยานโจทก์ที่ซุ่มดูเห็นจำเลยกับกลุ่มวัยรุ่นส่งสิ่งมอบของให้แก่กันนั้น ก็ไม่ได้เบิกความยืนยันว่าสิ่งของที่ส่งมอบกันนั้นเป็นอะไร เมทแอมเฟตามีนจำนวน 50 เม็ด มีปริมาณสารบริสุทธิ์ไม่ถึง 20 กรัม จึงไม่อาจสันนิษฐานได้ว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสองทั้งในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาจำเลยก็ให้การปฏิเสธ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นว่าจำเลยจำหน่าย จ่าย แจก หรือมีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อจำหน่ายเช่นวิธีการล่อซื้อมาเบิกความต่อศาล ข้อเท็จจริงจึงยังไม่พอฟังว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 50 เม็ดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 50 เม็ด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์และจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โทษที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ลงแก่จำเลยนั้นสูงเกินไป ขอให้ลงโทษในสถานเบานั้น เห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1ใช้ดุลพินิจวางโทษจำเลยก่อนลดจำคุก 5 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุก 3 ปี 4 เดือน นั้น นับว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้วไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขเป็นอย่างอื่น ฎีกาของจำเลยข้อนี้ก็ฟังไม่ขึ้นและที่โจทก์ฎีกาอีกประการหนึ่งขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1866/2542ของศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1866/2542ของศาลชั้นต้น ซึ่งจำเลยก็รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ แต่ศาลชั้นต้นไม่นับโทษต่อให้เพราะคดีดังกล่าวศาลยังไม่ได้พิพากษา เมื่อโจทก์ฎีกาขอให้นับโทษจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีดังกล่าว โดยอ้างว่าคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วโดยพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยรวมแล้วมีกำหนด 10 ปี ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 6036/2543 จำเลยไม่ได้แก้ฎีกาหรือฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงฟังได้ว่าคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแล้วจริง ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้นับโทษต่อได้ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น”

พิพากษายืน และให้นับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1866/2542 หมายเลขแดงที่ 6036/2543 ของศาลชั้นต้น

Share