คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6320/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองได้สมคบวางแผนกับ ส.จะจับผู้เสียหายเพื่อบังคับให้ลงชื่อสั่งจ่ายเช็คเงินสดให้จำเลยทั้งสองแล้วจะฆ่าผู้เสียหายเสีย ส.ไม่ตกลงจึงแจ้งให้ผู้เสียหายทราบ ผู้เสียหายไปแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจแล้ววางแผนจับกุมจำเลยทั้งสอง ในวันเกิดเหตุขณะที่ผู้เสียหายขับรถออกไปยังไม่พ้นประตูบ้าน จำเลยที่ 1 เดินเข้าไปที่ประตูรถด้านคนขับ รถหยุด จำเลยที่ 1 พูดกับผู้เสียหายซึ่งเป็นคนขับรถดังกล่าวแล้วจำเลยที่ 2 ก็เข้ามาใช้อาวุธปืนจี้ผู้เสียหาย เจ้าพนักงานตำรวจซึ่งแอบซุ่มอยู่ได้เข้าทำการจับกุม จำเลยทั้งสองได้ตรงบริเวณประตูหน้าบ้าน ยึดได้อาวุธปืน 1 กระบอก กระสุนปืน 5 นัดกุญแจมือ 1 คู่ แผนที่บ้านผู้เสียหายซึ่งมีลายมือชื่อของจำเลยที่ 1 ปรากฏอยู่ กระดาษตัวอย่างลายเซ็นชื่อของผู้เสียหาย ดังนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการลงมือกระทำความผิดแล้ว จึงมีความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์ และฐานพยายามเรียกค่าไถ่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันมีอาวุธปืน ๑ กระบอกไม่มีเครื่องหมายทะเบียนประทับพร้อมกระสุนปืน ๕ นัด ใช้ยิงได้ และมีซองใส่กระสุนปืน ๑ ซอง ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และได้ร่วมกันพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวติดตัวไปในเมือง และทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ทั้งไม่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์และจำเลยทั้งสองร่วมกันพยายามชิงทรัพย์ของผู้เสียหายไป และเพื่อเอาตัวผู้เสียหายไปหน่วงเหนี่ยวกักขังเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ โดยจะบังคับขู่เข็ญให้ผู้เสียหายเขียนเช็คสั่งจ่ายเงินมอบให้จำเลยทั้งสองเป็นค่าไถ่ตัว และเมื่อได้เงินแล้วจะนำตัวผู้เสียหายไปฆ่าทั้งเป็นการปิดปาก จำเลยทั้งสองได้ลงมือกระทำผิดไปแล้วแต่กระทำไปไม่ตลอด โดยเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสองได้เสียก่อน จำเลยทั้งสองจึงไม่อาจชิงเอาทรัพย์ และเอาตัวผู้เสียหายไปเรียกค่าไถ่ได้ตามเจตนาของจำเลยทั้งสองเจ้าพนักงานตำรวจยึดได้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน ซองกระสุนปืนและกุญแจมือ ๑ คู่ ที่จำเลยทั้งสองร่วมกันมีและใช้ในการกระทำผิดดังกล่าวเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๑๓, ๓๓๙, ๓๔๐ ตรี, ๙๑, ๘๓, ๘๐, ๓๗๑ พระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ มาตรา ๗, ๘ ทวิ,๗๒, ๗๒ ทวิ ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานพยายามเรียกค่าไถ่ และพยายามชิงทรัพย์โดยใช้อาวุธปืน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๓, ๓๓๙, ๓๔๐ ตรี, ๘๐เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา ๓๑๓, ๘๐ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ให้จำคุกคนละ ๑๒ ปี ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ มาตรา ๗,๘ ทวิ, (ที่ถูกมาตรา ๘ ทวิ วรรคแรก), ๗๒ (ที่ถูกมาตรา ๗๒ วรรคแรก) ๗๒ ทวิ (ที่ถูกมาตรา๗๒ ทวิ วรรคสอง) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๗๑ ฐานมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ ๒ ปี ฐานพาอาวุธปืนติดตัวโดยไม่มีเหตุสมควรและโดยไม่ได้รับใบอนุญาตลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐จำคุกคนละ ๑ ปี เรียงกระทงลงโทษรวมจำคุกคนละ ๑๕ ปี ของกลางริบ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๙ วรรคสอง และไม่ปรับบทว่าจำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ตรี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า พยานหลักฐานโจทก์มั่นคงพอรับฟังลงโทษจำเลยทั้งสองฐานพยายามชิงทรัพย์ และพยายามเรียกค่าไถ่ได้หรือไม่โจทก์มีผู้เสียหาย นายจิโรจน์ นายสุพจน์ เบิกความว่าจำเลยทั้งสองได้วางแผนกับนายสุพจน์จับผู้เสียหายเพื่อบังคับผู้เสียหายให้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คเงินสดให้จำเลยทั้งสองรับเงินจำนวน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาทร้อยตำรวจตรีภาสกรผู้จับกุมจำเลยทั้งสองได้ตรงบริเวณประตูหน้าบ้านของผู้เสียหายตามแผนที่เกิดเหตุเบิกความว่า รถผู้เสียหายออกยังไม่พ้นประตูบ้าน จำเลยที่ ๑ เดินเข้าไปที่ประตูรถด้านคนขับ รถหยุดกระจกรถด้านคนขับลดลงไปนิดหนึ่ง เห็นผู้เสียหายพูดกับจำเลยที่ ๑ อยู่คำสองคำ แล้วจำเลยที่ ๒ก็เข้ามาทางด้านซ้ายของจำเลยที่ ๑ ใช้อาวุธปืนจี้ผู้เสียหาย พยานจึงวิทยุบอกสิบตำรวจเอกพิศาลกับจ่าสิบตำรวจสมพรเข้าทำการจับกุม พยานออกจากที่ซ่อนจับจำเลยที่ ๒ ขณะเดียวกันจำเลยที่ ๑ วิ่งย้อนกลับไปทางเดิมก็ถูกสิบตำรวจเอกพิศาลจับกุมตัว จ่าสิบตำรวจสมพรเข้าจับกุมนายสุพจน์ พยานได้ยึดอาวุธปืนพาราเบลลั่ม ยี่ห้อเมาเซอร์ ขนาด ๙ มม. ไม่มีทะเบียนพร้อมกระสุนปืน ๕ นัดอยู่ในแม็กกาซีนด้ามปืนของจำเลยที่ ๒ และยึดได้กุญแจมือ ๑ คู่ แผนที่บ้านผู้เสียหาย กระดาษตัวอย่างลายเซ็นชื่อของผู้เสียหายจากตัวนายสุพจน์ แล้วได้คุมตัวจำเลยทั้งสองและนายสุพจน์ไปที่แผนก ๕ กองกำกับการกอง-ปราบปราม ส่วนนายสุพจน์ได้กันไว้เป็นพยาน ร้อยตำรวจเอกครรชิตซึ่งรับตัวจำเลยทั้งสองไว้สอบสวนเบิกความว่าจำเลยที่ ๑ รับว่าเป็นผู้ทำแผนที่ทั้งสองแผ่น เพื่อให้จำเลยที่ ๒ และนายสุพจน์ดู จำเลยที่ ๑ได้ลงชื่อรับรองไว้ใต้แผนที่ และจำเลยที่ ๑ รับว่าเป็นผู้หาตัวอย่างลายมือชื่อผู้เสียหาย นายสุพจน์พยานโจทก์ได้เบิกความสนับสนุนจำเลยที่ ๑ ไม่ได้นำสืบหักล้างถึงลายมือชื่อของตนที่ปรากฏอยู่ในเอกสารหมายจ.๑ และนอกจากนี้โจทก์นำสืบว่า จำเลยทั้งสองได้รับสารภาพ จึงฟังได้มั่นคงว่าจำเลยทั้งสองได้ลงมือกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๓, ๓๓๙ และ ๘๐ แล้ว ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าผู้เสียหายมีเรื่องโกรธเคืองกับจำเลยทั้งสองเกี่ยวกับจำเลยทั้งสองเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานนั้นเห็นว่าโจทก์มีพยานอื่นนอกจากตัวผู้เสียหายมาเบิกความถึงข้อเท็จจริงในขณะเกิดเหตุ ฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองได้ลงมือกระทำความผิดแล้ว ข้ออ้างของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์อื่น ๆ ได้ ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าผู้เสียหายมีฐานะเป็นเศรษฐีย่อมมีความรักตัวกลัวตาย ไม่มีเหตุผลที่จะขับรถออกมาอันเป็นการเสี่ยงอันตรายนั้น เห็นว่าขณะเกิดเหตุมีเจ้าพนักงานตำรวจซุ่มอยู่ทั้งภายในและภายนอกบ้านในลักษณะเตรียมพร้อมที่จะช่วยเหลือผู้เสียหายและเหตุการณ์ในตอนแรกก็เป็นเพียงพยายามจับผู้เสียหายให้เซ็นชื่อไม่ใช่เป็นเหตุการณ์ที่ผู้เสียหายจะต้องถูกยิงในทันที เหตุผลที่จำเลยอ้างไม่มีน้ำหนัก ที่จำเลยฎีกาว่าพยานโจทก์เบิกความแตกต่างกัน เรื่องอาวุธปืน เรื่องการร้องบอกให้วางอาวุธปืน นั้น เป็นข้อแตกต่างที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share