คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6312/2539

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คำว่า “การขายที่ดินโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร”หาได้หมายความว่าเป็นการขายที่ดินที่มีการพัฒนา เช่นแบ่งที่ดินออกเป็นแปลง ๆ เพื่อสะดวกแก่การขาย หรือจัดทำสาธารณูปโภค เช่น ถนน ไฟฟ้า ประปา เข้าที่ดินเท่านั้นไม่การซื้อที่ดินมาเพื่อขายต่อเพื่อเอากำไร แม้จะมิได้กระทำให้ที่ดินเจริญขึ้น ก็ถือได้ว่าเป็นการขายโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร โจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดนครปฐม ซื้อที่ดินซึ่งอยู่ที่จังหวัดราชบุรีในปี 2532 เมื่อซื้อแล้วมิได้ทำประโยชน์ใด ๆ และโจทก์ได้ขายไปในปี 2533 เป็นการขายในเวลาอันสั้นเมื่อเปรียบเทียบกับเวลาในการใช้ที่ดินเพื่อประกอบอาชีพอื่นอันมิใช่การค้าที่ดิน แสดงให้เห็นเจตนาว่าซื้อที่ดินมาเพื่อหากำไร การขายที่ดินจึงเป็นการขายโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไรซึ่งจะต้องเสียภาษี โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ ภาษีการค้า เบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามการประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน จำเลยให้การว่าการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์จึงต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่โจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้าง ภาระการพิสูจน์จึงตกอยู่แก่โจทก์มิใช่ตกแก่จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปี 2532 โจทก์ทั้งสองได้ร่วมกันซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 21079 เนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ เพื่อใช้ทำการเกษตรโดยปลูกมะพร้าวและเลี้ยงปลา หลังจากที่ดำเนินการได้ประมาณ 1 ปีเศษก็เกิดอุปสรรคโดยผู้เลี้ยงโคในละแวกใกล้เคียงนำโคเข้ามาเหยียบย่ำกินต้นมะพร้าวอ่อนของโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองจึงขายที่ดินไปในราคา 580,000 บาท โดยเสียภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายแล้ว ต่อมาจำเลยได้มีหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้ภาษีการค้า เบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ให้โจทก์ทั้งสองชำระค่าภาษีเป็นเงิน 282,875.20 บาท โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ แต่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสอง ให้โจทก์ทั้งสองทราบคำวินิจฉัยอุทธรณ์เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2537 โจทก์ทั้งสองเห็นว่ากรณีของโจทก์ทั้งสองไม่จำต้องเสียภาษีเงินได้อีกเพราะได้มีการเสียภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายแล้ว ตามนัยหนังสือของจำเลยด่วนที่สุดที่ กค.0802/1687 ลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2529 อีกทั้งโจทก์ทั้งสองมิได้มีเจตนาขายที่ดินมุ่งในทางการค้า จึงไม่จำต้องเสียภาษีการค้า ขอให้พิพากษาว่าโจทก์ทั้งสองไม่ต้องเสียภาษีเงินได้เพิ่มไม่ต้องเสียภาษีการค้า เบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามการประเมินของจำเลย
จำเลยให้การว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้วขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้ฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2532โจทก์ทั้งสองได้ซื้อที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 20179 ตำบลเขาขลุงอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี เนื้อที่ 10 ไร่ 44.1 ตารางวาในราคา 120,000 บาท โจทก์ทั้งสองมิได้ทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทต่อมาวันที่ 18 กันยายน 2533 โจทก์ทั้งสองได้ขายที่ดินพิพาทไปในราคา 580,000 บาท ในวันจดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทโจทก์ทั้งสองได้เสียภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายไว้เป็นเงิน 4,650 บาทนางสาวสุปราณี ศรีปัญญาวิชญ์ เจ้าหน้าที่บริหารงานสรรพากร 7จังหวัดนครปฐม ในฐานะเจ้าพนักงานประเมินได้แจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีการค้า ภาษีบำรุงเทศบาลพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มสำหรับการขายที่ดินพิพาทประจำปีภาษี 2533 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 282,875.20 บาท ไปยังโจทก์ทั้งสองตามหนังสือแจ้งการประเมินเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 13 ถึง 16โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์การประเมิน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การประเมินภาษีชอบด้วยกฎหมายแล้ว ให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองตามคำวินิจฉัยอุทธรณ์ เอกสารหมาย ล.1แผ่นที่ 1 และ 2 โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีนี้ภายในกำหนดเวลาสามสิบวันนับแต่วันที่โจทก์ทั้งสองได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์คดีคงมีปัญหาวินิจฉัยว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ทั้งสองฎีกาข้อแรกว่า การขายที่ดินโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร จะต้องได้ความว่ามีการพัฒนาที่ดินเช่น แบ่งที่ดินออกเป็นแปลง ๆ เพื่อสะดวกแก่การขาย หรือจัดทำสาธารณูปโภค เช่น ถนน ไฟฟ้า น้ำประปาเข้าที่ดินแต่โจทก์ทั้งสองมิได้กระทำการดังกล่าวในที่พิพาท จึงไม่ใช่เป็นการขายที่ดินโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไรนั้น เห็นว่า คำว่าการขายที่ดินโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร หาได้หมายความดังที่โจทก์ทั้งสองอ้างเท่านั้นไม่ กล่าวคือ หากมีการซื้อที่ดินมาเพื่อขายต่อเพื่อเอากำไร แม้จะมิได้กระทำให้ที่ดินเจริญขึ้นก็ถือได้ว่าเป็นการขายโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไรแล้วได้ความว่าโจทก์ทั้งสองมีภูมิลำเนาอยู่ที่อำเภอสามพรานจังหวัดนครปฐม ได้ซื้อที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ที่จังหวัดราชบุรีในปี 2532 เมื่อซื้อมาแล้วโจทก์ทั้งสองมิได้ทำประโยชน์ใด ๆในที่ดินพิพาท และโจทก์ทั้งสองได้ขายที่ดินพิพาทในปี 2533เป็นการขายในเวลาอันสั้นเมื่อเปรียบเทียบกับเวลาในการใช้ที่ดินเพื่อประกอบอาชีพอื่นอันมิใช่การค้าที่ดิน ข้ออ้างของโจทก์ทั้งสองที่ว่า ขายที่ดินพิพาทเพราะโคของเจ้าของที่ดินข้างเคียงมากินต้นมะพร้าวของโจทก์ทั้งสองที่ปลูกไว้ หรือขาดทุนจากการเลี้ยงปลาก็รับฟังเป็นความจริงมิได้ เพราะโจทก์ทั้งสองยังมิได้เข้าทำประโยชน์ใด ๆ ในที่ดินพิพาทเลย โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องขายที่ดินพิพาทเพราะเหตุดังกล่าว การขายที่ดินพิพาทในลักษณะดังกล่าวแสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์ทั้งสองว่าซื้อที่ดินพิพาทมาเพื่อหากำไร คดีฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสองได้ขายที่ดินพิพาทโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไรซึ่งจะต้องเสียภาษีอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ข้อต่อไปว่า คดีนี้ภาระการพิสูจน์ตกอยู่แก่จำเลย เมื่อจำเลยพิสูจน์ไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสองขายที่ดินพิพาทโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร จำเลยจึงเรียกเก็บภาษีจากโจทก์ทั้งสองไม่ได้ว่า เห็นว่า โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์ทั้งสองไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ ภาษีการค้าเบี้ยปรับ และเงินเพิ่มตามการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินจำเลยให้การต่อสู้ว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์ทั้งสองจึงต้องพิสูจน์ให้เห็นว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โจทก์ทั้งสองเป็นฝ่ายกล่าวอ้างภาระการพิสูจน์จึงตกอยู่แก่โจทก์ทั้งสอง มิใช่ตกแก่จำเลยและศาลฎีกาวินิจฉัยในประเด็นแรกแล้วว่า โจทก์ทั้งสองขายที่ดินพิพาทโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงชอบด้วยกฎหมาย คำพิพากษาศาลภาษีอากรกลางชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share