แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยซึ่งเป็นผู้ขับรถยนต์โดยสาร เห็นโจทก์ยืนเกาะห้อยโหนบันไดรถ ตัวโจทก์ยื่นออกไปนอกรถ แล้วยังคงขับรถต่อไปโดยไม่จัดการมิให้มีการเกาะห้อยโหนเช่นนั้นเสียก่อน ถือได้ว่าจำเลยกระทำโดยประมาท
โจทก์มีส่วนผิดเพราะเกาะห้อยโหนรถ ความรับผิดของจำเลยจึงต้องลดลงตามส่วน
จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นเพียงผู้ถือหุ้นและหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนิติบุคคลและเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 อยู่แล้ว มิใช่นายจ้างของจำเลยที่ 1 ด้วยไม่ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการละเมิดของจำเลยที่ 1
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓มีหน้าที่ขับรถยนต์โดยสาร จำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าของรถ จำเลยที่ ๓เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการและเป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดเมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๐๗ จำเลยที่ ๑ ขับรถดังกล่าวในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ด้วยความประมาท ด้วยอัตราความเร็วสูงกว่ากฎหมายกำหนด ขณะขับผ่านสะพานมิได้ชะลอความเร็ว แต่กลับเร่งความเร็วและหักหลบรถที่แล่นสวนทางมา เป็นเหตุให้รถแฉลบเข้าหาข้างสะพานทางซ้ายมือ และเหวี่ยงตัวโจทก์ที่ยืนอยู่ในรถทางด้านหลังออกไปนอกรถ เบียดกับขอบสะพาน ทำให้โจทก์ตกลงกับพื้นถนน ได้รับอันตรายบาดเจ็บสาหัส แพทย์โรงพยาบาลวชิรรับไว้รักษาตัวเป็นเวลา๒๒๘ วัน และลงความเห็นว่าโจทก์ต้องพิการไปตลอดชีวิต ขอเรียกค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทนรวม ๖๐,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ขับรถโดยประมาท โจทก์ยืนเกาะห้อยโหนรถ ตัวยื่นออกไปนอกรถ พอดีรถขึ้นสะพาน ตัวโจทก์จึงไปเบียดกับข้างสะพาน พลัดตกจากรถ ได้รับบาดเจ็บสาหัส จำเลยที่ ๑ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ ๒ ช่วยออกค่ารักษาพยาบาลให้โจทก์ ๒๗,๐๐๐ บาทเศษ โจทก์พอใจและตกลงกับจำเลยที่ ๒ ว่าจะไม่เรียกร้องค่าอื่น ๆ อีก
จำเลยที่ ๒, ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ประมาท โจทก์เป็นฝ่ายประมาทเอง แม้โจทก์จะเป็นฝ่ายผิด จำเลยก็ยังช่วยออกค่ารักษาพยาบาลให้ ๑๘,๙๒๒ บาท จำเลยที่ ๓เป็นเพียงผู้ถือหุ้น มีจำเลยที่ ๒ เป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ อยู่แล้วจึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ขับรถโดยประมาท เพราะเห็นโจทก์กระโโดยืนเกาะอยู่ที่บันไดรถชั้นล่างสุดในลักษณะห้อยโหนแล้วยังคงขับต่อไป เป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๔๗๗มาตรา ๒๔ แต่โจทก์เองก็มีส่วนผิด ความรับผิดของจำเลยที่ ๑ จึงต้องลดลงตามส่วน
สำหรับค่ารักษาพยาบาล ๒๒๘ วันที่โจทก์เรียก ๕๐,๐๐๐ บาทจำเลยช่วยเหลือชำระให้ ๑๘,๙๒๒ บาทแทนโจทก์แล้ว เป็นจำนวนที่นับว่าพอสมควรอยู่ ส่วนค่ายา ค่ารักษาพยาบาลหลังจากจำนวน ๒๒๘ วันเป็นเรื่องนอกฟ้อง เงินค่าเฝ้าไข้พิเศษตามเอกสาร จ.๙ กับค่ายาตามเอกสารหมาย จ.๑-๒ รวม ๓,๔๔๐ บาท โจทก์ไม่ได้นำสืบว่ามีความจำเป็นอย่างไร จึงต้องจ้างคนเฝ้าไข้พิเศษ จึงไม่ควรให้จำเลยต้องรับผิด
สำหรับค่าสินไหมทดแทน ให้จำเลยรับผิดชดใช้ให้โจทก์ ๒๐,๐๐๐ บาท
พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทน ๒๐,๐๐๐ บาทพร้อมกับดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสามจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยกเสียค่าธรรมเนียม ค่าทนายความให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์เสียค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลและค่าทนายความทั้งสองศาล ๕๐๐ บาทแทนจำเลย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาได้พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า จำเลยที่ ๑ ทราบว่าโจทก์เกาะห้อยโหนบันไดรถโดยสารที่ตนขับอยู่ โดยตัวโจทก์ยื่นออกไปนอกรถการที่จำเลยที่ ๑ ยังคงขับต่อไปโดยไม่จัดการมิให้มีการเกาะห้อยโหนเช่นนั้นเสียก่อน จะเรียกว่าจำเลยที่ ๑ มิได้รู้เห็นยินยอมด้วยหาชอบไม่ข้อเท็จจริงในคดีเชื่อได้ว่า หากจำเลยที่ ๑ ได้ใช้ความระมัดระวังไม่ยอมให้โจทก์เกาะห้อยโหนรถโดยสารเช่นนั้นอันตรายแก่กายที่เกิดขึ้นแก่โจทก์ก็จะไม่เกิดขึ้น จึงถือได้ว่าจำเลยที่ ๑ ได้กระทำโดยประมาทแต่อย่างไรก็ดี โจทก์เองก็มีส่วนประมาทอยู่ด้วย เมื่อพิเคราะห์ค่าสินไหมทดแทนที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้แก่โจทก์มานั้น เห็นว่าชอบด้วยรูปคดีแล้ว แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๓ ต้องร่วมรับผิดด้วยนั้น เห็นว่ายังคลาดเคลื่อนอยู่ เพราะจำเลยที่ ๓เป็นแต่เพียงผู้ถือหุ้นและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นนิติบุคคลและเป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๓ มิใช่นายจ้างของจำเลยที่ ๑ ด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นในบางส่วน
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ ร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์เป็นเงินรวมทั้งสิ้น สองหมื่นบาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จสิ้น ให้จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาแทนโจทก์ โดยเฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้เท่าที่โจทก์ชนะคดี และเห็นสมควรกำหนดค่าทนายความสองศาล ให้จำเลยที่ ๑และจำเลยที่ ๒ ร่วมกันใช้ให้โจทก์เป็นเงินหกร้อยบาท ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาสำหรับจำเลยที่ ๓ ให้เป็นอันพับ