แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ทั้ง มาตรา 237 และมาตรา 1300 แต่ขณะที่จำเลยรับโอนที่ดินแปลงพิพาทจาก ล. ศาลยังมิได้พิพากษาให้ ล. โอนที่ดินดังกล่าวคืนให้โจทก์ โจทก์จึงมิใช่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตาม มาตรา 1300 คดีของโจทก์ต้องด้วย มาตรา 237 ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240 ห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นปีหนึ่งนับแต่เวลาที่เจ้าหนี้ได้รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนหรือพ้นสิบปีนังแต่ได้ทำนิติกรรมนั้น
ล. โอนขายที่ดินพิพาทให้จำเลยเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2520 โจทก์ยื่นฟ้อง ล. และจำเลยเป็นคดีอาญาว่าร่วมกันฉ้อโกงโจทก์เกี่ยวกับที่ดินแปลงพิพาทเมื่อ วันที่ 30 พฤษภาคม 2520 เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่พิพาทระหว่าง ล. กับจำเลยภายในหนึ่งปีนับตั้งแต่วันที่โจทก์ได้รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอน คดีของโจทก์จึงขาดอายุความฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๐๒๑๘ ตำบลนางแก้ว อำเภอโพธารามจังหวัดราชบุรี เนื้อที่ ๖ ไร่ ๑ งาน ๗๒ ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์ยกให้นายเล็ก แสงศูนย์ หลานโจทก์เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๑๕ โดยไม่มีค่าตอบแทนและนายเล็กรับรองว่าจะอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ไปจนตลอดชีวิต ต่อมานายเล็กประพฤติเนรคุณต่อโจทก์และโจทก์ได้ฟ้องนายเล็กต่อศาลจังหวัดราชบุรี เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๒๐ ขอถอนคืนการให้เพราะเหตุเนรคุณ ศาลจังหวัดราชบุรีพิพากษาเมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๒๐ ให้นายเล็กโอนที่ดินดังกล่าวคืนให้โจทก์หากไม่โอนให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา คดีถึงที่สุดแล้วที่พิพาทจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๒๐ จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสามีภรรยากันสมคบกับนายเล็กทำนิติกรรมรับโอนที่ดินแปลงพิพาท โดยการซื้อขายจากนายเล็กต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดราชบุรี โดยทราบอยู่แล้วว่าเป็นที่ดินของโจทก์ เป็นการร่วมกันฉ้อโกงโจทก์ นายเล็กไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ ไม่มีอำนาจจดทะเบียนโอนขายให้แก่จำเลยทั้งสองได้ และโจทก์อยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิที่ดินดังกล่าวได้ก่อน จำเลยทั้งสองไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงพิพาท ขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่าที่ดินแปลงพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์การทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินดังกล่าวระหว่างนายเล็กกับจำเลยทั้งสอง ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดราชบุรี เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๒๐ เป็นโมฆะเพราะกลฉ้อฉลและให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวกลับมาเป็นของโจทก์ หากจำเลยทั้งสองเพิกเฉยก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งสองให้การว่า ได้รับโอนที่ดินโดยการซื้อจากนายเล็กผู้มีชื่อเป็นเจ้าของในโฉนดที่ดินโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนเป็นเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๒๐ โดยไม่ทราบว่าโจทก์ฟ้องคดีขอถอนคืนการให้จากนายเล็ก จำเลยทั้งสองมิได้สมคบกับนายเล็กฉ้อโกงโจทก์ โจทก์ทราบถึงการที่นายเล็กโอนขายที่ดินแปลงพิพาทให้จำเลยทั้งสองตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๒๐ โจทก์ได้ฟ้องนายเล็กและจำเลยทั้งสองเป็นคดีอาญาต่อศาลจังหวัดราชบุรีหาว่าร่วมกันฉ้อโกงโจทก์ ศาลพิพากษายกฟ้องเพราะคดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองได้รับโอนที่ดินแปลงพิพาทมาโดยไม่สุจริต จึงต้องถือข้อเท็จจริงตามคดีอาญาดังกล่าวและโจทก์ฟ้องเพิกถอนคดีนี้เป็นเวลาเกินกว่า ๑ ปีแล้วฟ้องโจทก์ขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์กล่าวว่า จำเลยทั้งสองรับโอนที่ดินแปลงพิพาทจากนายเล็ก โดยทราบอยู่แล้วว่าเป็นที่ดินของโจทก์ เป็นการร่วมกันฉ้อโกงโจทก์ โจทก์อยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิที่ดินดังกล่าวได้ก่อน การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย ฟ้องของโจทก์จึงเป็นกรณีขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ทั้งมาตรา ๒๓๗ และมาตรา ๑๓๐๐ แต่ขณะที่จำลยทั้งสองรับโอนที่ดินแปลงพิพาทจากนายเล็ก ศาลยังมิได้พิพากษาให้นายเล็กโอนที่ดินดังกล่าวคืนให้โจทก์ โจทก์จึงมิใช่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามมาตรา ๑๓๐๐ คดีของโจทก์ต้องด้วยมาตรา ๒๓๗ แต่การฟ้องร้องขอเพิกถอนนิติกรรมอันเกิดจากการฉ้อฉลนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๔๐ ห้ามมิให้ฟ้องร้องเมื่อพ้นปีหนึ่งนับแต่เวลาที่เจ้าหนี้ได้รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนหรือพ้นสิบปีนับแต่ได้ทำนิติกรรมนั้น ปรากฏว่านายเล็กได้โอนขายที่ดินแปลงพิพาทให้แก่จำเลยทั้งสองเมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๒๐ และโจทก์ยื่นฟ้องนายเล็กกับจำเลยทั้งสองเป็นคดีอาญาหาว่าร่วมกันฉ้อโกงโจทก์เกี่ยวกับที่ดินแปลงพิพาทต่อศาลจังหวัดราชบุรีเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๒๐ กรณีถือได้ว่าโจทก์ได้รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนนิติกรรมอันเกิดจากการฉ้อฉลตั้งแต่วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๒๐ โจทก์มิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างนายเล็กกับจำเลยทั้งสองภายในหนึ่งปี นับตั้งแต่วันที่โจทก์ได้รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอน คดีของโจทก์จึงขาดอายุความตามฟ้องร้อง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๔๐ และไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ในข้อที่ว่าจำเลยทั้งสองรับโอนที่ดินแปลงพิพาทจากนายเล็กโดยไม่สุจริตต่อไปอีกฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน