แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นผู้เช่าห้องพิพาทจากโจทก์ผู้ร้องอ้างว่าเป็นหุ้นส่วนกับจำเลย แต่ไม่มีข้ออ้างประการใดที่อ้างความเป็นหุ้นส่วนนั้นขึ้นยันโจทก์ได้ ผู้ร้องจึงมีฐานะเป็นบริวารจำเลยและอยู่ในฐานะที่จะต้องถูกบังคับให้ออกจากห้องพิพาทได้
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยยอมออกจากห้องเลขที่ ๑๖๖ ภายในวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๐๗ ศาลพิพากษาบังคับคดีตามยอม ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่าจำเลยและนายยนต์ กับนางสมจิตต์บริวารจำเลยไม่ยอมออก ขอให้ศาลเรียกตัวมาสอบถาม นายยนต์ นางสมจิตต์ยื่นคำร้องว่า เดิมนายใหญ่บิดานายยนต์ผู้ร้องกับจำเลยเช่าห้องพิพาทจากโจทก์เพื่อทำการค้า แต่การค้าขาดทุน ผู้ร้องจึงเข้าหุ้นทำการค้าให้นายยนต์เป็นผู้จัดการ นางสมจิตต์เป็นผู้จัดการด้านการเงิน และใช้ชื่อจำเลยเป็นผู้เช่าห้องพิพาทต่อไป จำเลยรับค่าเช่าห้องจากผู้ร้องเอาไปให้โจทก์ ผู้ร้องไม่ใช่บริวาร
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องออกไปจากห้องพิพาทภายใน ๑ เดือน
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยเป็นผู้เช่าห้องพิพาทจากโจทก์ ที่ผู้ร้องอ้างว่าเป็นหุ้นส่วนกับจำเลย แต่ไม่มีข้ออ้างประการใดที่จะอ้างความเป็นหุ้นส่วนนั้นขึ้นยันโจทก์ได้ ผู้ร้องจึงมีฐานะเป็นบริวารของจำเลยและอยู่ในฐานะที่จะต้องถูกบังคับให้ออกจากห้องพิพาท
พิพากษายืน.