คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 611-612/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่วัดและที่ธรณีสงฆ์นั้นผู้ใดจะยกเอาโฉนดมาต่อสู้ถือกรรมสิทธิมิได้

ย่อยาว

คดี ๒ สำนวนนี้เป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกับศาลจึงได้รวมสำนวนพิจารณาพิพากษา
โจทก์กล่าวฟ้องทั้ง ๒ สำนวนเป็นใจความว่าจำเลยทั้ง ๒ สำนวนเข้าแย่งเอาที่ป่าช้าของวัดพิชัยบุรณารามโจทก์ โดยขอออกโฉนดนาพิพาทเป็นโฉนดเลขที่ ๔๓๕๓ และ ๔๓๒๙ ขอให้ศาลเพิกถอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและห้ามจำเลยไม่ให้เกี่ยวข้อ
จำเลยทั้ง ๒ สำนวนต่อสู้เป็นใจความว่าที่พิพาทไม่ใช่ของวัดเป็นที่รกร้างว่างเปล่าจำเลยได้เข้าจับจองและขอออกโฉนดโดยสุจริตและโอนซื้อขายกันโดยเปิดเผยและมีค่าตอบแทน นอกจากนี้ตัดฟ้องทั้ง ๒ สำนวนว่า
๑. โจทก์เป็นนิติบุคคลไม่อาจใช้สิทธิครอบครองเป็นเจ้าของที่พิพาทได้
๒. ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ไม่มีอำนาจตาม ก.ม. ในการดำเนินคดีแทนวัดได้
๓. คดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลจังหวัดอุทัยธานีพิพากษาว่าที่พิพาทที่ ๒ แปลงเป็นป่าช้าของวัดพิชัยฯ โจทก์ให้เพิกถอนทะเบียนกรรมสิทธิในโฉนดที่มีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาฟังว่าที่พิพาท ๒ แปลงนี้เป็นที่อยู่ในเขตต์ที่วัดโจทก์หรืออย่างน้องก็เป็นสมบัติของวัดมีมาแต่โบราณกาล
อันที่ธรณีสงฆ์ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ ม.๔๐(๑) หรือ (๒) และ ม.๔๑ บัญญัติว่า “ที่วัดและที่ธรณีสงฆ์จะโอนกรรมสิทธ์ได้แต่โดย พ.ร.บ. จำเลยไม่มีทางจะยกเอาโฉนดต่อสู้วัดได้ ข้อโต้แย้งต่าง ๆ ในฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share