คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6095/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในส่วนที่ทับที่ดินของโจทก์ จำเลยกล่าวแก้ข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ ซึ่งหากศาลพิพากษาให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามคำขอของโจทก์ก็ย่อมเป็นผลให้โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทกลับคืนมา คดีของโจทก์ในส่วนที่ขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่อ้างว่าออกทับที่ดินของโจทก์จึงเป็นคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อที่ดินมีราคา 32,000 บาท ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
โจทก์ขอให้เปิดทางสาธารณประโยชน์ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยมิได้มีคำขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในส่วนที่ทับทางเกวียนแต่ประการใด ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะส่วนที่ทับทางเกวียน จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง และปัญหานี้เป็นปัญหาที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกายกขึ้นมาแก้ไขให้ถูกต้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ห้ามมิให้จำเลยที่ 1 เกี่ยวข้องเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1668, 1669 และ 1670ตำบลเขาคีริส อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร ในส่วนที่ทับที่ดินของโจทก์ออกจากทะเบียนที่ดินอำเภอพรานกระต่าย และบังคับจำเลยที่ 1 เปิดทางสาธารณประโยชน์ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1068 ตำบลเขาคีริส อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) เลขที่ 159 ตำบลพรานกระต่าย อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชรกับทำที่ดินให้อยู่ในสภาพใช้สัญจรได้

จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้

ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ที่ดินพิพาทในกรอบเส้นสีแดงยกเว้นแนวเขตเส้นประสีน้ำเงินตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.ล.1 เป็นของโจทก์ ห้ามมิให้จำเลยที่ 1 เกี่ยวข้อง ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1668ตำบลเขาคีริส อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร เฉพาะส่วนที่ทับที่ดินพิพาทและทางเกวียนตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.ล.1 ให้จำเลยที่ 1 เปิดทางเกวียนอันเป็นทางสาธารณประโยชน์ตามแผนที่พิพาทดังกล่าวในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1668 ตำบลเขาคีริส อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร และทำให้ที่ดินอยู่ในสภาพใช้สัญจรได้ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ประการแรกว่า โจทก์หรือจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทดีกว่ากันนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ในส่วนที่ทับที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ 1 กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ ซึ่งหากศาลพิพากษาให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ตามคำขอของโจทก์ ก็ย่อมเป็นผลให้โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทกลับคืนมา คดีของโจทก์ในส่วนที่ขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ที่อ้างว่าออกทับที่ดินของโจทก์จึงเป็นคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อที่ดินพิพาทมีราคา32,000 บาท ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ของจำเลยที่ 1 ออกทับทางเกวียนอันเป็นทางสาธารณประโยชน์หรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์ นายทองดี พลหาญ บุตรโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจนายทดช้างน้อย บุตรเขยโจทก์ นายออง หอมมาลา ชาวบ้าน นายประสม ศิริษาและนายจำรัสการะเวก สองอดีตผู้ใหญ่บ้านกับนายโผน เขียวแก้ว หลานคู่กรณีมานำสืบ มีใจความว่าเดิมที่ดินพิพาทเป็นแปลงเดียวกับโฉนดที่ดินเลขที่ 12872 ซึ่งโจทก์ซื้อมาจากนางมุ้ยมารดานายโผน มีเนื้อที่รวมประมาณ 25 ไร่ ด้านทิศเหนือติดที่ดินของจำเลยที่ 1 โดยมีทางเกวียนคั่น ต่อมามีการตัดทางสาธารณประโยชน์ขึ้นใหม่ไม่ทับแนวทางเกวียนเดิมหากแต่ตัดผ่านที่ดินโจทก์ทำให้ที่ดินโจทก์ถูกแบ่งเป็นสองแปลงคือแปลงใหญ่ซึ่งอยู่ด้านทิศใต้ของทางสาธารณประโยชน์ที่โจทก์ยกให้แก่นายทองดีและแปลงเล็กเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ อันเป็นที่ดินพิพาทซึ่งโจทก์คงครอบครองทำประโยชน์ด้วยการทำนาปลูกข้าว ปี 2536 โจทก์อนุญาตให้นายทดผู้เป็นบุตรเขยปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินพิพาทนานถึง 2 ปี เมื่อบุตรเขยย้ายออกไปโจทก์ก็ได้กลับเข้าทำนาในที่ดินพิพาทดังเดิม ฝ่ายจำเลยที่ 1 มีตัวจำเลยที่ 1 นายบุญธรรม โพเทพและนางเทือง เดชะผล ซึ่งทั้งสองเป็นหลานคู่กรณีเช่นกันมาสืบว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงใหญ่ของจำเลยที่ 1ซึ่งมีเนื้อที่รวมประมาณ 50 ไร่ ด้านทิศใต้ของที่ดินจดทางสาธารณประโยชน์ไม่ใช่จดทางเกวียน เมื่อปี 2534 จำเลยที่ 1 ได้นำที่ดินทั้งแปลงจากเดิมที่เป็น น.ส.3 ไปขอออกเอกสารสิทธิเป็น น.ส.3 ก. ขณะรังวัดเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่ดิน นายจำรัสการะเวก พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านในขณะนั้นก็ได้มาดูการรังวัดและเซ็นชื่อรับรองแนวเขตโดยมีนายเผด็จ กลึงมั่น ช่างรังวัดที่ดินมาเบิกความสนับสนุนว่า ขณะรังวัดที่ดินได้มีการแจ้งเจ้าของที่ดินข้างเคียงไประวังแนวเขต และก่อนออก น.ส.3 ก. ก็ได้มีการนำประกาศไปติดไว้ในที่ต่าง ๆ รวมทั้งบริเวณที่ตั้งของที่ดินเพื่อให้มีการคัดค้านตามระเบียบของทางราชการแล้วไม่ปรากฏมีผู้ใดไปคัดค้าน ข้อสำคัญคือตามระวางรูปถ่ายทางอากาศด้านทิศใต้ของที่ดินพิพาทติดทางสาธารณประโยชน์โดยไม่ปรากฏทางเกวียนตามที่โจทก์นำชี้ในแผนที่พิพาทกลาง เห็นว่า แม้โจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างมีพยานบุคคลและเอกสารมายันกันแต่เมื่อพิจารณาพยานโจทก์แต่ละปากคือนายทดบุตรเขยโจทก์เบิกความว่าผู้อนุญาตให้เข้าปลูกบ้านในที่ดินพิพาทตามที่ทั้งสองฝ่ายอ้างคือตัวโจทก์ นายโผนที่เบิกความว่ามารดาเป็นผู้ขายที่ดินให้โจทก์และตนเองยังมีที่ดินที่มารดายกให้อยู่ติดที่ดินพิพาทโดยเคยปลูกห้างนาบนที่ดินดังกล่าว มีหลักฐานตามภาพถ่าย นายประสมและนายจำรัสสองอดีตผู้ใหญ่บ้านท้องที่ซึ่งมายืนยันตรงกันว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินพิพาท และนายอองซึ่งเป็นชาวบ้านในท้องที่ไม่มีผลประโยชน์กับฝ่ายใดที่มาเบิกความตรงกับนายโผนว่าเคยใช้ทางเกวียนที่โจทก์นำชี้ตามแผนที่พิพาทกลางเป็นทางเดินผ่านก่อนที่จะมีการตัดทางสาธารณประโยชน์แนวใหม่ อันแสดงว่าเคยมีทางเกวียน ซึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์คั่นระหว่างที่ดินของจำเลยที่ 1 กับที่ดินพิพาทอย่างเป็นเรื่องราวและมีเหตุผล ต่างจากพยานจำเลยที่ 1 ที่แม้จะมี น.ส.3 ก. และระวางรูปถ่ายทางอากาศมาเป็นหลักฐานและมีนายบุญธรรมกับนางเทืองสองพี่น้องที่เป็นหลานคู่กรณีมาเป็นพยาน แต่พยานจำเลยที่ 1 สองปากดังกล่าวก็ได้ความว่ามีผลประโยชน์ร่วมด้วย โดยนางเทืองเบิกความตอบคำถามค้านของโจทก์รับว่าได้รับการยกให้ที่ดินจากจำเลยที่ 1 นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังรับว่าตามหลักฐานเดิมที่ดินของจำเลยที่ 1 ก่อนออกเป็น น.ส.3 ก. คือที่ดินตาม น.ส.3 ซึ่งมีเนื้อที่เพียง 26 ไร่ 2 งาน 60 ตารางวา ซึ่งน้อยกว่าจำนวนที่ออกเป็น น.ส.3 ก. ที่มีเนื้อที่ถึง 61 ไร่ 2 งาน 62 ตารางวาทั้งตามรูปที่ดินเดิมของ น.ส.3 ก็ปรากฏว่าด้านทิศใต้ติดทางเกวียนแล้ว พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักมากกว่า น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ขอออก น.ส.3 ก. ทับทางเกวียนอันเป็นทางสาธารณประโยชน์ด้วย ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาอ้างว่าไม่มีทางเกวียนด้านทิศเหนือที่ดินพิพาทโดยอ้างระวางรูปถ่ายทางอากาศและการที่ผู้ใหญ่บ้านลงชื่อรับรองการรังวัดเพื่อออก น.ส. 3 ก. ของที่ดินจำเลยที่ 1 นั้น เชื่อว่า เป็นเพราะทางเกวียนในสมัยก่อนเป็นทางคนในหมู่บ้านใช้อาศัยเป็นทางสัญจรปกติจะเป็นเส้นทางที่ไม่กว้าง เมื่อมีการตัดทางสาธารณประโยชน์ขึ้นใหม่ซึ่งย่อมจะสะดวกกว่าทางเกวียนเดิมที่ไม่มีการใช้ก็ย่อมจะหมดสภาพไป กอปรกับได้ความจากพยานคู่กรณีว่ามีการตัดทางสาธารณประโยชน์ขึ้นใหม่มานานกว่า 20 ปี การที่ไม่ปรากฏทางเกวียนในระวางรูปถ่ายทางอากาศซึ่งระบุว่าถ่ายเมื่อปี 2519 จึงไม่ใช่ข้อพิสูจน์ที่จะหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยที่ 1 ไม่อาจชนะคดีโจทก์ได้ อย่างไรก็ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1668 ตำบลเขาคีริส อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชร ส่วนที่ทับทางเกวียนตามแผนที่พิพาทด้วยนั้น เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 1668, 1669 และ 1670 ตำบลเขาคีริส อำเภอพรานกระต่าย จังหวัดกำแพงเพชรเฉพาะส่วนที่ทับที่ดินของโจทก์กับคำขอให้เปิดทางสาธารณประโยชน์ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1668 ดังกล่าว โดยมิได้มีคำขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1668 ในส่วนที่ทับทางเกวียนตามแผนที่พิพาทแต่ประการใด การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1668 เฉพาะส่วนที่ทับทางเกวียนตามแผนที่พิพาท จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง ปัญหานี้เป็นปัญหาที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็เห็นสมควรหยิบยกขึ้นแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้ ส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ทำทางเกวียนอันเป็นทางสาธารณประโยชน์ให้อยู่ในสภาพใช้สัญจรได้ด้วยนั้น เห็นว่า ตามทางนำสืบของคู่ความคงได้ความเพียงว่า จำเลยที่ 1 เข้าไปทำนาบนทางเกวียนที่ไม่มีสภาพเป็นทางให้เห็นโดยไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 1 จะได้เข้าไปทำให้ที่ดินส่วนที่เป็นทางเกวียนเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่แต่ประการใด ดังนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 6 จึงไม่อาจสั่งให้จำเลยที่ 1 ทำให้ที่ดินส่วนที่เป็นทางเกวียนให้อยู่ในสภาพใช้สัญจรตามคำขอของโจทก์ได้”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 เปิดทางเกวียนอันเป็นทางสาธารณประโยชน์ตามแผนที่พิพาท แต่ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ในส่วนที่ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1668 ตำบลเขาคีริส อำเภอพรานกระต่ายจังหวัดกำแพงเพชร เฉพาะส่วนที่ทับทางเกวียน และให้ยกคำขอบังคับจำเลยที่ 1 ทำทางเกวียนให้อยู่ในสภาพที่ใช้สัญจรได้ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6

Share