แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฎีกาของจำเลยที่คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น มิได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้ จำเลยยืมปุ๋ยและของอื่นไปจากโจทก์เพื่อใช้ในการทำใบยาสูบจำเลยจะทำใบยาสูบเองหรือไม่ไม่ใช่ข้อสำคัญ แม้สัญญายืมสิ่งของดังกล่าวจะไม่ได้กำหนดเวลาคืนสิ่งของไว้แต่ตามพฤติการณ์การให้ยืมสิ่งของดังกล่าวเพื่อใช้ในฤดูกาลทำใบยาสูบ เมื่อสิ้นฤดูกาลแล้วก็ต้องส่งคืนหากใช้ไม่หมด ส่วนที่ใช้ไปแล้วไม่อาจส่งคืนได้ ก็ต้องใช้ราคา ดังนี้ เป็นกรณีที่ไม่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน เป็นเพียงอนุมานจากพฤติการณ์ การที่จำเลยไม่ส่งคืนของที่ยืมเมื่อสิ้นระยะเวลาที่อนุมานจากพฤติการณ์ได้นั้น ก็ยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัด แต่ต่อมาเมื่อโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยคืนของที่ยืมภายในวันที่กำหนด จำเลยไม่คืน จึงตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันถัดจากวันที่กำหนดนั้น สัญญายืมสิ่งของมิได้กำหนดไว้ในบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายหมวด 6 แห่งประมวลรัษฎากรว่าต้องปิดอากรแสตมป์ สัญญาดังกล่าวแม้ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 118 แห่งประมวลรัษฎากร บรรยายฟ้องว่า จำเลยคืนสิ่งของแก่โจทก์บางส่วนเป็นเงิน5,790 บาท ต่อมาได้นำเงินมาชำระค่าสิ่งของแก่โจทก์ ยังคงเหลือสิ่งของรวมเป็นเงิน 48,480 บาท แต่โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยคืนสิ่งของรวม 81,870 บาท เมื่อหนังสือบอกกล่าวท้ายฟ้องได้แสดงรายละเอียดของทรัพย์ที่จำเลยยืมโจทก์ไปเป็นเงิน48,480 บาท ตรงตามคำฟ้อง โดยไม่รวมค่ากรรมกรขนของ คำฟ้องจึงไม่ขัดกันและจำเลยก็เข้าใจข้อหาต่อสู้คดีได้ถูกต้อง คำฟ้องจึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ยืมปุ๋ย ยาบำรุงใบยาสูบ และยาฆ่าแมลงจากโจทก์จำนวน 6 รายการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 81,870 บาท เพื่อนำไปใช้และจำหน่ายโดยตกลงว่าจำเลยจะนำปุ๋ย ยาบำรุงใบยาสูบและยาฆ่าแมลงมาคืนให้โจทก์เมื่อเสร็จฤดูการทำใบยาสูบคือภายในวันที่30 เมษายน 2426 ครั้นเมื่อถึงกำหนดจำเลยได้นำมาคืนให้แก่โจทก์บางส่วนคิดเป็นเงิน 4,790 บาท ต่อมาได้นำเงินมาชำระค่าปุ๋ยยาบำรุงใบยาสูบ และยาฆ่าแมลง บางส่วนยังคงเหลือไม่คืนแก่โจทก์คือปุ๋ย ยาบำรุงใบยาสูบ ยาฆ่าแมลง และปุ๋ยเกล็ด คิดเป็นเงิน48,480 บาท โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยคืนของที่ยังไม่คืน หากไม่สามารถคืนได้ก็ให้ชดใช้ราคารวมกันเป็นเงิน 48,480 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นตัวแทนของบริษัทวีระพาณิชย์ ส.ว.จำกัด ในเขตจังหวัดพิจิตร จำเลยเป็นนายหน้าของบริษัทวีระพาณิชย์ ส.ว. จำกัด บริษัทวีระพาณิชย์ ส.ว. จำกัด กำหนดให้จำเลยรับปุ๋ยและยาชนิดต่าง ๆ จากโจทก์ซึ่งเป็นตัวแทนไปมอบให้แก่ชาวไร่ยาสูบแต่ละราย จำเลยจึงมิใช่คู่สัญญากับโจทก์ นิติกรรมการยืมของตามใบยืมทำขึ้นโดยเจตนาลวง การยืมของจากโจทก์มิได้กำหนดเวลาให้ใช้ของคืน หากโจทก์จะได้รับความเสียหายก็ได้รับความเสียหายนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2529 เป็นต้นไปเพราะเป็นเวลาสิ้นสุดที่โจทก์กำหนดให้จำเลยชำระหนี้โจทก์เสียหายไม่เกิน 200 บาทขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนหรือชดใช้ราคาทรัพย์ที่ยืมเป็นเงินจำนวน 48,480 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าศาลชั้นต้นไม่รับฟังพยานเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.4 เพราะจำเลยไม่ถามค้านขณะที่โจทก์เบิกความและไม่ได้ส่งสำเนาให้โจทก์ก่อนสืบพยาน 3 วัน เป็นการคลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริง ความจริงจำเลยได้ถามค้านนายประทีปพยานโจทก์ไว้เกี่ยวกับเอกสารหมาย ล.1 และ ล.2 จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้นั้น ปรากฏว่าจำเลยได้อุทธรณ์เรื่องเกี่ยวกับเอกสารดังกล่าว และศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้วินิจฉัยสรุปว่า จำเลยอ้างในคำให้การว่าจำเลยเป็นนายหน้าของบริษัทวีระพาณิชย์ ส.ว.จำกัดซึ่งโจทก์เป็นตัวแทนในเขตจังหวัดพิจิตร เมื่อจำเลยไปรับของโจทก์ให้จำเลยเซ็นชื่อไว้ในใบยืมของเอกสารหมาย จ.2 โดยโจทก์อ้างว่าที่ให้ทำหนังสือดังกล่าวเพื่ออำพรางการเป็นนายหน้าของจำเลยต่อบริษัทวีระพาณิชย์ ส.ว. จำกัด ไม่มีความประสงค์จะผูกพันตามกฎหมาย จึงขัดต่อเหตุผลจะรับฟังเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.4เป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่ก็ตามก็ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงข้อวินิจฉัยข้างต้นว่าไม่จำต้องวินิจฉัยนั้น เห็นว่าตามฎีกาของจำเลยจำเลยมิได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในเรื่องนี้ไว้ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้
ที่จำเลยฎีกาประเด็นว่าหนี้ถึงกำหนดชำระหรือไม่และค่าเสียหายเท่าไรเห็นว่าการที่จำเลยยืมปุ๋ย ยาบำรุงใบยาสูบและยาฆ่าแมลงไปจากโจทก์ ตามเอกสารหมาย จ.2 ก็เพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้ในการทำใบยาสูบ จำเลยจะทำใบยาสูบเองหรือไม่ ไม่ใช่ข้อสำคัญแม้ตามเอกสารหมาย จ.2 จะไม่ได้กำหนดเวลาคืนสิ่งของไว้ก็ตาม แต่ตามพฤติการณ์การให้ยืมสิ่งของดังกล่าวเพื่อใช้ในฤดูกาลทำใบยาสูบ เมื่อสิ้นฤดูกาลแล้วก็ต้องส่งคืนหากใช้ไม่หมด ส่วนที่ใช้ไปแล้วไม่อาจส่งคืนได้ก็ต้องใช้ราคา ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดา เชื่อว่าจำเลยได้ตกลงกับโจทก์ไว้ว่าจะต้องส่งคืนสิ่งของเมื่อสิ้นฤดูกาลการทำใบยาสูบ ซึ่งอนุมานได้ว่าคือภายในสิ้นเดือนเมษายน 2526 ซึ่งเป็นกรณีที่ไม่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน เป็นเพียงอนุมานจากพฤติการณ์การที่จำเลยยังไม่ส่งคืนของภายในสิ้นเดือนเมษายน 2526 จึงยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัด แต่เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2529โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยคืนของที่ยืมภายในวันที่ 11 เดือนเดียวกันจำเลยไม่คืนของตามที่ทวงถาม จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันที่ 12 เมษายน 2529 ฎีกาจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
จำเลยฎีกาว่าเอกสารหมาย จ.2 เป็นสัญญาที่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร จึงจะใช้อ้างเป็นพยานหลักฐานต่อศาลได้แต่เอกสารหมาย จ.2 ไม่ปิดอากรแสตมป์นั้นเห็นว่า สัญญายืมสิ่งของมิได้กำหนดไว้ในบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายหมวด 6 แห่งประมวลรัษฎากรจึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 118แห่งประมวลรัษฎากร
ที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะบรรยายฟ้องว่าจำเลยคืนสิ่งของแก่โจทก์บางส่วนรวมเป็นเงิน 5,790 บาท ต่อมาได้นำเงินมาชำระค่าสิ่งของแก่โจทก์ ยังคงเหลือสิ่งของรวมเป็นเงิน48,480 บาท แต่โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์2529 ให้จำเลยคืนสิ่งของรวม 81,870 บาท คำฟ้องกับคำบอกกล่าวขัดกัน จำเลยไม่เข้าใจและไม่สามารถต่อสู้คดีได้ถูกต้องนั้น ปรากฏว่าหนังสือบอกกล่าวท้ายฟ้องหมายเลข 2 ลงวันที่ 2 เมษายน 2529 ได้แสดงรายละเอียดของทรัพย์ที่จำเลยยืมโจทก์ไปรวม 6 รายการเป็นเงิน 48,480 บาท ตรงตามฟ้อง โดยไม่รวมรายการที่ 7 ค่ากรรมกรขนของจึงไม่ขัดกันและจำเลยก็เข้าใจข้อหาต่อสู้คดีได้ถูกต้อง เห็นว่าคำฟ้องโจทก์แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุมฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยคืนทรัพย์ที่ยืม ถ้าคืนไม่ได้ให้ชดใช้ราคาเป็นเงิน 48,480 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 12 เมษายน 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 10,908 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2