คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5973/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์หมั้นและแต่งงานตามประเพณีกับจำเลยที่ 1 โจทก์ย่อมต้องการอยู่กินฉันสามีภรรยากับจำเลยที่ 1 โดยชอบด้วยกฎหมาย แม้จะไม่ปรากฏว่าได้พูดกันถึงเรื่องการจดทะเบียนสมรสก็ตาม เมื่อจำเลยที่ 1 อยู่กับโจทก์เพียงคืนเดียว โดยโจทก์ไม่ได้ร่วมประเวณีกับจำเลยที่ 1 เพราะจำเลยที่ 1 อ้างว่าเหนื่อยขอผัดเป็นวันรุ่งขึ้นครั้นวันรุ่งขึ้นโจทก์ต้องช่วยนำสิ่งของที่ใช้ในงานแต่งงานส่งคืนเจ้าของ ไม่มีเวลาว่าง จึงให้จำเลยที่ 1 นำชุดสากลไปคืนที่ร้านในเมือง จำเลยที่ 1 ออกจากบ้านไปแล้วไม่กลับมาอยู่กินกับโจทก์อีกโดยไม่ปรากฏสาเหตุโจทก์ได้ออกตามหาตลอดมา แต่ไม่พบจำเลยที่ 1 ทั้งจำเลยที่ 1 เคยแสดงท่าทีไม่อยากกลับไปแต่งงานกับโจทก์พฤติการณ์แสดงว่าจำเลยที่ 1 หลบหนีไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับโจทก์และไม่อาจถือได้ว่าโจทก์ไม่นำพาต่อการจดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 1จำเลยทั้งสามจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้น ต้องคืนของหมั้นและสินสอดแก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นบุตร จำเลยที่๒ ที่ ๓ จำเลยทั้งสามผิดสัญญาหมั้น ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามคืนของหมั้นและสินสอดให้แก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ให้การว่า จำเลยไม่ได้ผิดสัญญาหมั้นขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ คืนสร้อยคอทองคำหนัก ๑.๒๕ บาท หากคืนไม่ได้ให้ชดใช้ราคา ๕,๔๐๐ บาท แก่โจทก์ ให้จำเลยที่ ๒และที่ ๓ร่วมกันคืนเงินจำนวน ๑๕,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยกจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายโดยฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ เป็นบุตรของ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จำเลยที่ ๑ ทำงานเป็นลูกจ้างในโรงงานที่กรุงเทพมหานคร เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๒๘ โจทก์กับจำเลยที่ ๑ตกลงหมั้นกันโดยมอบของหมั้นเป็นสร้อยคอทองคำหนัก ๑.๒๕ บาท ราคา๕,๔๐๐ บาท ให้ จำเลยที่ ๑ และตกลงจะแต่งงานกันเมื่อครบวันแต่งงาน จำเลยที่ ๑ ไม่ยอมเดินทางกลับไปแต่งงาน จำเลยที่ ๓ ต้องเดินทางเข้ากรุงเทพมหานคร มารับตัว จึงได้ตัวจำเลยที่ ๑ ไปแต่งงานตามกำหนด ต่อมาในวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๒๙ โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ทำพิธีแต่งงานกันที่บ้านของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ โจทก์มอบสินสอดเป็นเงินสดจำนวน ๑๕,๐๐๐ บาท กับสร้อยคอทองคำหนัก ๑.๗๕ บาทให้แก่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ด้วย ในคืนวันดังกล่าว โจทก์กับจำเลยที่ ๑นอนอยู่ด้วยกันที่บ้านของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ในวันรุ่งขึ้นโจทก์ใช้ให้จำเลยที่ ๑ นำชุดสากลไปส่งคืนที่ร้านในอำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา จำเลยที่ ๑ ออกจากบ้านไปแล้วก็ไม่กลับมาอีก โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ออกติดตามหาแต่ก็ไม่พบจำเลยที่ ๑ จนกระทั่งบัดนี้ โจทก์ได้รับคืนสร้อยคอทองคำหนัก ๑ บาท จากจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑รับผิดคืนของหมั้นแก่โจทก์ คดีสำหรับจำเลยที่ ๑ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์มีว่า จำเลยทั้งสามไม่ผิดสัญญาหมั้นเพราะโจทก์ไม่นำพาต่อการจดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ ๑หรือไม่ การที่โจทก์หมั้นกับจำเลยที่ ๑ และแต่งงานตามประเพณีกับจำเลยที่ ๑ โจทก์ย่อมต้องการอยู่กินฉันสามีภรรยากับจำเลยที่ ๑โดยชอบด้วยกฎหมายเป็นปกติธรรมดา แม้ไม่ปรากฏจากการนำสืบของโจทก์ว่า ในการหมั้นและการแต่งงานตามประเพณีได้พูดกันถึงเรื่องการจดทะเบียนสมรสก็ตาม แต่การจดทะเบียนสมรสเป็นขั้นตอนหลังจากการแต่งงานกันตามประเพณีแล้ว ซึ่งจะต้องดูพฤติการณ์ที่โจทก์กับจำเลยที่ ๑ อยู่กินด้วยกัน เมื่อ จำเลยที่ ๑ อยู่กับโจทก์ได้เพียงคืนเดียว โดยโจทก์ไม่ได้ร่วมประเวณีกับ จำเลยที่ ๑ เพราะจำเลยที่ ๑ อ้างว่าเหนื่อย ขอผิดเป็นวันรุ่งขึ้น ตามที่โจทก์นำสืบโดยจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ มิได้นำสืบหักล้างในวันรุ่งขึ้นโจทก์ต้องช่วยนำสิ่งของที่ใช้ในงานแต่งงานไปส่งคืนเจ้าของ และรื้อชานบ้านที่ปลูกขึ้นเพื่อจัดงานไม่มีเวลาว่าง จึงให้จำเลยที่ ๑ นำชุดสากลที่เช่ามาไปคืนที่ร้านซึ่งอยู่ในอำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา จำเลยที่ ๑ ก็ออกจากบ้านไปไม่กลับมาอยู่กินฉันสามีภรรยากับโจทก์โดยไม่ปรากฏสาเหตุ โจทก์ออกตามหาตลอดมา แต่ไม่พบจำเลยที่ ๑ ประกอบกับจำเลยที่ ๑ ได้เคยแสดงท่าทีไม่อยากกลับมาแต่งงานกับโจทก์ ตามพฤติการณ์เช่นนี้น่าเชื่อว่า จำเลยที่ ๑กับโจทก์ และยังไม่พอฟังว่า โจทก์ไม่นำพาต่อการที่จะจดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ ๑ อันจะถือได้ว่าจำเลยทั้งสามไม่ได้ผิดสัญญาหมั้นซึ่งจะทำให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ พ้นความรับผิดแก่โจทก์ จำเลยจึงต้องคืนของหมั้นและสินสอดแก่โจทก์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ร่วมกันคืนเงินจำนวน๑๕,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share