คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5926/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งของอ.มิใช่สิทธิเฉพาะตัวจึงตกได้แก่ทายาทโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของอ. จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองที่เข้าโต้แย้งสิทธิได้ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่าสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทเป็นของอ.ผู้ตายและตกได้แก่ฤ.ทายาทตามพินัยกรรมจำเลยทั้งสองเป็นเพียงผู้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนทายาทของอ.เท่านั้นไม่มีสิทธิครอบครองแต่อย่างใดจำเลยทั้งสองไม่ได้อุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ข้อเท็จจริงจึงฟังยุติแล้วว่าจำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทจำเลยที่2จึงหาอาจยกปัญหาเรื่องจำเลยทั้งสองมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์ขึ้นเป็นข้อฎีกาได้ต่อไปไม่เพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในชั้นอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของพันตำรวจตรีอนันต์จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างของพันตำรวจตรีอนันต์ ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเหลือในการเลี้ยงกุ้งกุลาดำ ที่ฟาร์มชยานันต์ ซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเลนจังหวัดสตูล ตอนที่ 5 ตำบลคลองขุดอำเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของพันตำรวจตรีอนันต์ได้มอบอำนาจให้นายสุบินเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ทั้งหมดในฟาร์มชยานันต์ จำเลยทั้งสองได้ขัดขวางไม่ให้นายสุบินเข้าไปยุ่งเกี่ยวในฟาร์มชยานันต์ โดยอ้างว่าพันตำรวจตรีอนันต์ได้ทำพินัยกรรมมอบการครอบครองที่ดินและฟาร์มชยานันต์ ให้แก่จำเลยที่ 1 แล้ว และจำเลยที่ 1 ได้มอบหมายให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ครอบครองดูแลฟาร์มชยานันต์ พินัยกรรมฉบับที่จำเลยที่ 1 อ้างนั้นได้ถูกยกเลิกโดยพินัยกรรมของพันตำรวจตรีอนันต์ฉบับลงวันที่ 14 มกราคม 2534 แล้ว การที่จำเลยทั้งสองอาศัยอยู่ในฟาร์มชยานันต์ โดยไม่มีสัญญาเช่าและขัดขวางโจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกมิให้โจทก์เข้าไปทำประโยชน์ในที่ดิน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองขนย้ายทรัพย์สินและบริวารและห้ามรบกวนการครอบครองที่ดินป่าสงวนแห่งชาติป่าเลน จังหวัดสตูล ตอนที่ 5 ตำบลคลองขุด อำเภอเมืองสตูลจังหวัดสตูล ที่โจทก์มีสิทธิครอบครองให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 1ได้ร่วมลงทุนในกิจการฟาร์มกุ้งชนานันต์ ต่อมาจำเลยที่ 1 จึงเป็นเจ้าของและได้ครอบครองฟาร์มกุ้งดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียวตามพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 1 กรกฎาคม 2532 จำเลยที่ 1 ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 เป็นคนดูแลที่ดินพิพาทโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยที่ 2 เนื่องจากที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติและจำเลยที่ 2 ได้ครอบครองอยู่โดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1 พินัยกรรมฉบับลงวันที่ 14 มกราคม 2534 ไม่ใช่พินัยกรรมที่พันตำรวจตรีอนันต์ทำขึ้นเพราะลายมือชื่อผู้ทำพินัยกรรมไม่ใช่ลายมือชื่อของพันตำรวจตรีอนันต์แต่เป็นลายมือชื่อปลอม การที่จำเลยที่ 2อยู่ในที่ดินพิพาทไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิใด ๆที่จะนำที่ดินพิพาทออกให้บุคคลอื่นทำประโยชน์โดยได้รับค่าตอบแทนเพราะที่ดินพิพาทเป็นป่าสงวนแห่งชาติ อันเป็นสาธารณบัติ ของแผ่นดินขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาทซึ่งเป็นป่าสงวนแห่งชาติป่าเลนให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 20,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาท
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า การครอบครองที่ดินพิพาทเป็นสิทธิเฉพาะตัวของพันตำรวจตรีอนันต์ จึงไม่ตกทอดแก่ทายาท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทนั้นเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งของพันตำรวจตรีอนันต์ มิใช่สิทธิเฉพาะตัวจึงตกได้แก่ทายาท โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของพันตำรวจตรีอนันต์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองที่เข้ามาโต้แย้งสิทธิได้
ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาข้อต่อมาว่า ก่อนพันตำรวจตรีอนันต์ถึงแก่ความตาย พันตำรวจตรีอนันต์ได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2เป็นผู้ดูแล จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์นั้น เห็นว่า คดีนี้เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่าสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทเป็นของพันตำรวจตรีอนันต์ผู้ตายและตกได้แก่นายฤทธินันต์ทายาทตามพินัยกรรม จำเลยทั้งสองเป็นเพียงผู้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนทายาทของพันตำรวจตรีอนันต์เท่านั้นไม่มีสิทธิครอบครองแต่อย่างใด จำเลยทั้งสองไม่ได้อุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ข้อเท็จจริงจึงฟังเป็นยุติแล้วว่าจำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยที่ 2 จึงหาอาจยกปัญหาเรื่องสิทธิครอบครองดังกล่าวขึ้นเป็นข้อฎีกาได้อีกต่อไป ฎีกาจำเลยที่ 2 ข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 3 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share