คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 59/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

บุคคลที่จะเข้ารับการฟื้นฟูตาม พ.ร.บ.ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดฯ มาตรา 19 ต้องเป็นเพียงผู้ต้องหามิใช่ถูกฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลแล้ว จำเลยจึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะได้รับการพิจารณาเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด
ตามรายงานการสืบเสาะและพินิจปรากฏว่า จำเลยที่ 2 เคยกระทำความผิดมาแล้วหลายครั้ง และมีสองครั้งที่เป็นคดีเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ ซึ่งศาลก็ได้ให้โอกาสแก่จำเลยที่ 2 ทั้งสองคดี แต่จำเลยที่ 2 ก็มาทำความผิดคดีนี้ในระหว่างรอการลงโทษในคดีครั้งหลังสุด แสดงว่าเป็นผู้กระทำผิดติดนิสัยและยากที่จะกลับตัวได้ด้วยตัวเอง ข้อสำคัญยังขับรถเบียดรถเจ้าพนักงานตำรวจที่เข้าจับกุม ส่อถึงการไม่รู้สำนึก แม้จะอ้างว่าเพราะเกรงจะถูกจับกุมก็ตาม จึงไม่รอการลงโทษให้จำเลยที่ 2

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 67 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43, 160 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 83, 91 บวกโทษจำเลยที่ 2 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีนี้
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ และจำเลยที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 67 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ลงโทษจำคุก 1 ปี และปรับ 20,000 บาท จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน และปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ให้คุมความประพฤติของจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี โดยให้จำเลยที่ 1 ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติประจำศาลจังหวัดชลบุรี จำนวน 4 ครั้ง ตามที่พนักงานคุมประพฤติกำหนด ห้ามจำเลยที่ 1 เกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษทุกชนิดตลอดระยะเวลาที่รอการลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 67 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 58 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (8), 160 วรรคสาม การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง จำคุก 1 ปี ฐานขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น จำคุก 2 เดือน รวมจำคุก 1 ปี 2 เดือน จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 7 เดือน บวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3366/2544 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษในคดีนี้ เป็นจำคุก 1 ปี 7 เดือน
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 67 (ที่แก้ไขใหม่) ส่วนกำหนดโทษ และนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “บุคคลที่จะเข้ารับการฟื้นฟูตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ต้องเป็นเพียงผู้ต้องหามิใช่ถูกฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลแล้ว กรณีของจำเลยที่ 2 จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะได้รับการพิจารณาเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกา พอเข้าใจว่าเป็นเรื่องขอให้รอการลงโทษด้วยนั้น เห็นว่า ตามรายงานการสืบเสาะและพินิจที่จำเลยที่ 2 ไม่คัดค้าน ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เคยกระทำความผิดมาแล้วหลายครั้ง และมีถึงสองครั้งที่เป็นคดีเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ ซึ่งศาลก็ได้ให้โอกาสแก่จำเลยที่ 2 ทั้งสองคดี แต่จำเลยที่ 2 ก็มากระทำความผิดคดีนี้ในระหว่างรอการลงโทษในคดีครั้งหลังสุด แสดงว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้กระทำความผิดติดนิสัยและยากที่จะกลับตัวได้ด้วยตัวเอง ข้อสำคัญคือจำเลยที่ 2 ยังขับรถเบียดรถเจ้าพนักงานตำรวจที่เข้าจับกุม ส่อถึงการไม่รู้สำนึก แม้จะอ้างว่าเพราะเกรงจะถูกจับกุมก็ตาม สำหรับที่จำเลยที่ 2 อ้างความเดือดร้อนของครอบครัวและปรับปรุงตนเองแล้วก็เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 ควรได้คิดเสียก่อนที่จะกระทำความผิดอีก ข้ออ้างตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ล้วนไม่มีน้ำหนักเพียงพอในการรับฟัง ที่ศาลล่างทั้งสองวางโทษถึงจำคุกโดยไม่รอการลงโทษให้จำเลยที่ 2 นั้น ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้โดยปรับบทความผิดและบทลงโทษจำเลยที่ 2 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ที่แก้ไขใหม่ โดยมิได้พิพากษาแก้ไปถึงจำเลยที่ 1 ด้วยนั้น ยังไม่ถูกต้อง แม้คดีสำหรับจำเลยที่ 1 จะยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่คดีนี้ยังไม่ถึงที่สุด ศาลฎีกาจึงมีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขโดยปรับบทกฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 ให้ถูกต้องได้”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 67 (เดิมและที่แก้ไขใหม่) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share