แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
อำนาจพระเจ้าแผ่นดินเหนือกฎหมาย พินัยกรรม์ซึ่งไม่ระบุชื่อผู้รับและจำนวนทรัพย์ไว้นั้นนับว่ามีความบกพร่อมในกฎหมายพินัยกรรม์ซึ่งมีความบกพร่องในกฎหมายนั้น พระเจ้าแผ่นดินในครั้งทรงสมบูรณาญาสิทธิราชทรงมีอำนาจรับรองให้สมบูรณ์ได้ แต่ย่อมสมบูรณ์เพียงเท่าเงื่อนไขที่ทรงรับรองสั่งไว้
ย่อยาว
ได้ความว่า โจทก์ฟ้องอ้างว่ารัชกาลที่ ๖ ทำพินัยกรรม์สั่งให้โจทก์ได้รับเงินเลี้ยงชีพปีละ ๔๘๐๐ บาท เสมอไป รัชกาลที่ ๖ สวรรคตเมื่อพ.ศ.๒๔๖๘ ตั้งแต่พ.ศ.๒๔๖๙ ถึง ๒๔๗๒ จำเลยจ่ายเงินให้โจทก์ปีละ ๓๖๐๐ บาท ซึ่งโจทก์อ้างว่าขาดจากพินัยกรรม์ปีละ ๑๒๐๐ บาท แล้วจำเลยงดจ่ายตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๗๓ ตลอดมาการจ่ายแลงดจ่ายดังกล่าวนั้นจำเลยปฏิบัติตามคำสั่งรัชชกาลที่ ๗ ซึ่งได้มีพระราชหัตถเลขากำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเลี้ยงชีพไว้ใหม่ พินัยกรรม์ที่โจทก์ส่งศาลข้อ ๖ ซึ่งเกี่ยวแก่โจทก์นั้นไม่ระบุชื่อโจทก์แลจำนวนเงินไว้
ศาลแพ่งพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่ารัชชกาลที่ ๗ มีพระบรมราชโองการวางเกณฑ์การจ่ายเงินเลี้ยงชีพขึ้นใหม่ แลมีพระราชประสงค์อันแท้จริง ให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงพินัยกรรม์รัชชกาลที่ ๖ เวลานั้นรัชการที่ ๗ ทรงพระราชอำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย่อมมีอำนจสั่งให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงพินัยกรรม์ได้ จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าพินัยกรรม์ข้อ ๖ มีข้อความบกพร่องในกฎหมาย แต่รัชชกาลที่ ๗ ได้ทรงรับรองตามที่เห็นสมควรแลมีพระราชหัตถเลขา ๓ ฉะบับกำหนดหลักเกณฑ์จ่ายเงินเลี้ยงชีพใหม่ และสั่งให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตาม แสดงให้เห็นว่ามีพระราชประสงค์ให้เป็นคำสั่งบังคับได้ตามกฎหมาย จึงเห็นว่าโจทก์ฟ้องโดยอ้างพินัยกรรม์ของรัชชกาลที่ ๖ ให้ผิดไปจากที่รัชชกาลที่ ๗ ทรงรับรองสั่งไว้นั้นไม่ได้ ให้พิพากษายกฟ้องยืนตามศาลอุทธรณ์