คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 587-588/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวหาจำเลยกระทำผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 โดยระบุชื่อผู้เสียหายมาในฟ้อง และราษฎรผู้มีชื่ออีกหลายคน ถือว่าเข้าองค์ประกอบเป็นฟ้องในข้อหาฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 แล้ว
ฎีกาจำเลยในปัญหาดุลพินิจของศาลในการชั่งน้ำหนักคำพยาน เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
แม้การหลอกลวงของจำเลยจะเป็นเรื่องที่ยังต้องดำเนินการต่อไปข้างหน้า แต่ก็ได้เริ่มขึ้นแล้วโดยการแสดงโครงการออกโฆษณาต่อประชาชนอันเป็นความเท็จ ซึ่งเชื่อมโยงต่อชั้นที่จะดำเนินการต่อไป ดังนี้ การกระทำของจำเลยถือว่าเป็นความผิดฐานฉ้อโกงแล้ว

ย่อยาว

คดี ๒ สำนวน ศาลพิจารณาพิพากษารวมกันโดยโจทก์ฟ้องนายปรารภจำเลยในสำนวนแรก และนายปรารภกับนายสัมฤทธิ์ในสำนวนหลังกล่าวหาว่าจำเลยได้วางแผนฉ้อโกงและประชาชนโดยวางโครงการออกโฆษณาหลอกลวงผู้มีชื่อตามฟ้อง และราษฎรอีกหลายคนชักชวนให้เสียค่าสมัครเป็นสมาชิกกลุ่มการเกษตรกึ่งอุตสาหกรรม ซึ่งจำเลยจะขออนุญาตทางการจัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินการจัดสรรที่ดินแก่ราษฎรให้เป็นที่ทำกิน เป็นเหตุให้ราษฎรพากันหลงเชื่อและมอบเงินค่าสมัครแก่จำเลย ซึ่งความจริงที่ดินที่อ้างว่าจะจัดสรรเป็นป่าสงวน ทั้งมิได้มีการขอจัดตั้งตามโครงการที่โฆษณาไว้อันเป็นข้อความเท็จ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๓, ๘๓ ให้จำเลยคืนหรือให้ราคาทรัพย์แก่เจ้าทรัพย์ ริบของกลางและนับโทษนายปรารภจำเลยต่อจากคดีดำที่ ๖๓๘/๒๕๑๐
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นฟังว่า นายปรารภจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง ส่วนนายสัมฤทธิ์ฟังไม่ได้ว่าร่วมกับนายปรารภจำเลย พิพากษาว่านายปรารภจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๓ ให้จำคุก ๓ ปี คำรับจำเลยมีประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ ๑ ใน ๓ คงจำคุกไว้ ๒ ปี ยกคำขอให้นับโทษต่อเพราะคดีดังกล่าวศาลให้รอการลงโทษไว้ ริบของกลาง ส่วนนายสัมฤทธิ์จำเลยให้ยกฟ้อง
นายปรารภจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับแต่เฉพาะฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยในข้อที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องเคลือบคลุม โดยบรรยายฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๓ เพราะมิได้กล่าวหาว่าหลอกลวงต่อประชาชนทั่วไป ว่าการที่โจทก์บรรยายฟ้องระบุว่าจำเลยทำการหลอกลวงผู้มีชื่อตามฟ้องและราษฎรผู้มีชื่ออีกหลายคน ถือได้ว่าเป็นการฟ้องกล่าวหาครบองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๓ แล้ว และเมื่อความผิดตามมาตรา ๓๔๓ มิใช่ความผิดต่อส่วนตัว พนักงานสอบสวนย่อมทำการสอบสวนได้ โดยไม่จำต้องมีคำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๒๑ ส่วนฎีกาในข้อที่ว่าโจทก์ไม่มีผู้เสียหายมาสืบ คงมีแต่พยานอื่นซึ่งเป็นพยานออกความเห็นรับฟังไม่ได้นั้น เท่ากับฎีกาในเรื่องดุลพินิจของศาลในการชั่งน้ำหนักพยาน จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งเมื่อต้องห้ามฎีกา ก็ไม่จำต้องวินิจฉัย ส่วนในฎีกาข้อที่ว่าการกระทำของจำเลยเป็นเรื่องเหตุการณ์ในอนาคตข้างหน้า จึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงนั้นเห็นว่า การกระทำของจำเลยได้มีขึ้นแล้วตามโครงการโฆษณาที่จำเลยทำขึ้นแสดงต่อประชาชนอันเป็นข้อความเท็จซึ่งเชื่อมโยงกับที่จำเลยจะดำเนินการต่อไป กรณีถือว่าเป็นการหลอกลวง เข้าลักษณะความผิดฐานฉ้อโกงแล้ว ฎีกาจำเลยทั้งหมดฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share