คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 582/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อผู้เสียหายและนางสาว ค. ประจักษ์พยานโจทก์ซึ่งไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อนไม่มีเหตุที่จะปรักปรำจำเลยต่างยืนยันว่าจำเลยกับพวกร่วมกันชิงทรัพย์สร้อยคอทองคำของผู้เสียหายทั้งภายหลังเกิดเหตุไม่นานเมื่อร้อยตำรวจโท ส. จับจำเลยมาจากห้องน้ำซึ่งจำเลยเข้าไปซ่อนตัวอยู่ผู้เสียหายก็ยืนยันในขณะนั้นว่าจำเลยเป็นคนร้ายในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยก็ให้การรับสารภาพตลอดมาและยังได้นำพนักงานสอบสวนไปชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพให้ถ่ายภาพไว้ด้วยพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาฟังได้แน่ชัดปราศจากสงสัยว่าจำเลยร่วมกับพวกกระทำผิดจริง

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ขอให้ ลงโทษ จำเลย ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,339 วรรคสอง
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น พิพากษา ว่า จำเลย มี ความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคสอง , 83 ลงโทษ จำคุก 12 ปี จำเลย ให้การรับสารภาพใน ชั้น จับกุม และ ชั้นสอบสวน เป็น ประโยชน์ แก่ การ พิจารณา มีเหตุบรรเทา โทษ ลดโทษ ให้ หนึ่ง ใน สี่ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คง จำคุก ไว้ มี กำหนด 9 ปี
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ เป็น ว่า ให้ จำคุก จำเลย 10 ปี ลดโทษ ให้หนึ่ง ใน สาม ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คง จำคุก 6 ปี 8 เดือนนอกจาก ที่ แก้ ให้ เป็น ไป ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “พิเคราะห์ แล้ว ข้อเท็จจริง ฟัง เป็น ยุติโดย คู่ความ มิได้ ฎีกา โต้แย้ง ว่า ตาม วัน เวลา และ สถานที่ ที่ โจทก์ กล่าวใน ฟ้อง จำเลย และ นาย ศักดิ์ ไม่ทราบ นามสกุล ไป รับประทานอาหาร และ ดื่ม สุรา ด้วยกัน ที่ ร้าน รถเข็น ของ ผู้เสียหาย ซึ่ง อยู่ บริเวณ หน้า ร้าน วสันต์เฮาส์ซิ่ง ถนน งามวงศ์วาน แขวง ลาดยาว เขต จตุจักร กรุงเทพมหานคร ต่อมา เวลา 24 นาฬิกา เศษ ขณะที่ ผู้เสียหาย กำลังเก็บ ของ ขึ้น รถเข็น นาย ศักดิ์ ได้ เข้า ไป บีบ คอ และ ผลัก ผู้เสียหาย ล้ม ลง พร้อม กับ กระชาก สร้อยคอ ทองคำ ของกลาง ที่ คอ ผู้เสียหายผู้เสียหาย ร้อง ตะโกน ให้ คน ช่วย และ แย่ง สร้อยคอ ทองคำ ของกลางกลับคืน มา ได้ ส่วน จำเลย และ นาย ศักดิ์ วิ่ง หลบหนี ไป โดย จำเลย ไป หลบ อยู่ ใน ห้องน้ำ ใต้ สะพาน ข้าม คลอง บางเขน และ ถูก เจ้าพนักงาน ตำรวจจับ ได้ ใน คืน เกิดเหตุ ปัญหา ที่ ต้อง วินิจฉัย ตาม ฎีกา ของ จำเลย มี ว่าจำเลย ได้ กระทำ ความผิด ตาม ฟ้อง หรือไม่ โจทก์ มี นาง ประดับศรี ผู้เสียหาย มา เบิกความ ยืนยัน ว่า ขณะที่ พยาน เก็บ ของ ขึ้น รถเข็นจำเลย กับพวก เดิน เข้า มา ด้านหลัง และ ช่วย กัน บีบ คอ พยาน พยาน หัน ไป มองเห็นจำเลย กับพวก จึง ดิ้นรน และ ร้องขอ ความ ช่วยเหลือ และ เรียก ให้นางสาว คำจุน เอา มีด มา ให้ จำเลย กับพวก ผลัก พยาน ล้ม ลง และ ช่วย กัน กระชาก สร้อยคอ ทองคำ ของกลาง ที่ คอ พยาน จน ตะขอ หลุด เมื่อ พยาน ลุกขึ้นมา ได้ จึง แย่ง สร้อยคอ ทองคำ ของกลาง คืน มาจาก จำเลย จำเลย กับพวกจึง วิ่งหนี ไป นางสาว คำจุน พยานโจทก์ ซึ่ง ช่วย ผู้เสียหาย เก็บ ร้าน อยู่ ใน ขณะ เกิดเหตุ ก็ มา เบิกความ ยืนยัน ว่า ขณะที่ พยาน กำลัง เก็บ ของ อยู่เตรียม กลับ บ้าน ได้ยิน เสียง ผู้เสียหาย ร้อง หัน ไป ดู เห็น จำเลย กับพวกซึ่ง มา รับประทานอาหาร ด้วยกัน กำลัง ดึง สร้อยคอ ทองคำ ของกลาง ของผู้เสียหาย พยาน จึง วิ่ง ไป ตาม คน มา ช่วย เมื่อ กลับมา อีก ครั้งหนึ่งคนร้าย หนี ไป แล้ว แต่เมื่อ เจ้าพนักงาน ตำรวจ จับ จำเลย มาจาก ห้องน้ำใต้ สะพาน ข้าม คลอง บางเขน พยาน ก็ จำ ได้ว่า เป็น คนร้าย คนหนึ่ง จำเลย กับพวก ลุกขึ้น ไป ดึง สร้อยคอ ทองคำ ของกลาง ของ ผู้เสียหายพร้อมกัน พยาน หัน ไป เห็น ขณะที่ ผู้เสียหาย ร้อง เรียก เห็น ผู้เสียหายกับ คนร้าย กำลัง ยื้อแย่ง สร้อยคอ ทองคำ ของกลาง กัน ดังนี้ ทั้ง ผู้เสียหายและ นางสาว คำจุน ต่าง ยืนยัน ว่า จำเลย กับพวก ร่วมกัน ชิงทรัพย์ สร้อยคอ ทองคำ ของกลาง ของ ผู้เสียหาย เมื่อ ร้อยตำรวจโท โสภณ เนตรสว่าง จับ จำเลย มาจาก ห้องน้ำ ใต้ สะพาน ข้าม คลอง บางเขน ซึ่ง จำเลย เข้า ไป ซ่อน ตัว อยู่ ผู้เสียหาย ก็ ยืนยัน ต่อ ร้อยตำรวจโท โสภณ ใน ขณะ นั้น ว่า จำเลย เป็น คนร้าย ที่ ร่วม กับพวก ชิงทรัพย์ ดังกล่าว โดย ร้อยตำรวจโท โสภณ ก็ มา เบิกความ รับรอง ใน ข้อ นี้ ใน ชั้น จับกุม และ ชั้นสอบสวน จำเลย ก็ ให้การรับสารภาพ ตลอดมา ว่า ได้ ร่วม กับพวกชิงทรัพย์ ผู้เสียหาย จริง ตาม บันทึก การ จับกุม เอกสาร หมาย จ. 3และ คำให้การ ชั้นสอบสวน เอกสาร หมาย จ. 5 ซึ่ง เจ้าพนักงาน ได้ บันทึก ไว้ใน คืน เกิดเหตุ นั้นเอง ยิ่ง ไป กว่า นั้น จำเลย ยัง ได้ นำ พนักงานสอบสวนไป ชี้ ที่เกิดเหตุ ประกอบ คำรับสารภาพ ให้ ถ่าย ภาพ ไว้ ด้วย ใน คืนเกิดเหตุ เช่นกัน ตาม เอกสาร หมาย ป.จ. 3 (ศาลจังหวัด ร้อยเอ็ด )ผู้เสียหาย และ พยานโจทก์ ต่าง ไม่รู้ จัก จำเลย มา ก่อน ย่อม ไม่มี เหตุที่ จะ ปรักปรำ จำเลย ที่ จำเลย นำสืบ ว่า เข้า ไป ช่วย ดึง มือ นาย ศักดิ์ ออก และ ร้อง บอก ว่า อย่า ทำ เช่นนั้น ไม่มี น้ำหนัก น่าเชื่อ เพราะผู้เสียหาย และ นางสาว คำจุน ต่าง ยืนยัน ว่า จำเลย กับพวก ช่วย กัน ดึง สร้อยคอ ทองคำ ของกลาง ของ ผู้เสียหาย ดังกล่าว มา แล้ว และผู้เสียหาย ยัง แย่ง สร้อยคอ ทองคำ คืน มาจาก จำเลย และ ที่ จำเลย อ้างว่าให้การรับสารภาพ ชั้น จับกุม และ ชั้นสอบสวน เพราะ ถูก เจ้าพนักงานตำรวจ ทำร้าย นั้น ก็ เป็น เพียง คำเบิกความ ลอย ๆ ไม่ น่าเชื่อ ทั้ง ตามภาพถ่าย ที่ จำเลย นำ ชี้ ที่เกิดเหตุ ใน คืน เกิดเหตุ ก็ ไม่ปรากฏ ร่องรอยหรือ ที ท่า ว่า จำเลย ถูก ทำร้าย ดัง ที่ อ้าง พยานหลักฐาน ที่ โจทก์นำสืบ มา ฟังได้ แน่ชัด ปราศจาก สงสัย ว่า จำเลยร่วม กับพวก กระทำผิดจริง ดัง ฟ้อง พยาน จำเลย ไม่มี น้ำหนัก หักล้าง พยานโจทก์ ส่วน ที่ จำเลยฎีกา ขอให้ ลงโทษ สถาน เบา นั้น เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ ใช้ ดุลพินิจ ใน การ ลงโทษจำเลย เหมาะสม แก่ พฤติการณ์ แห่ง รูปคดี แล้ว ไม่มี เหตุ ที่ ศาลฎีกา จะเปลี่ยนแปลง แก้ไข ศาลอุทธรณ์ พิพากษา มา ชอบแล้ว ฎีกา ของ จำเลย ฟังไม่ ขึ้น ”
พิพากษายืน

Share