แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีเดิมต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224วรรคสองอุทธรณ์ชั้นบังคับคดีอันเป็นสาขาก็ย่อมต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหายระหว่างพิจารณา โจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2529 มีใจความสำคัญว่า โจทก์ยอมให้จำเลยเช่าตึกแถวพิพาทในอัตราค่าเช่าห้องละ 300 บาท ต่อเดือนภายใต้เงื่อนไขการเช่าและกำหนดเวลาการเช่าตามสัญญาเดิมทุกประการถ้าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความข้อใด ยินยอมให้โจทก์บังคับคดีให้จำเลยออกจากตึกพิพาทได้ทันที และศาลได้มีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ คดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำขอออกหมายบังคับคดีฉบับลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2537 อ้างว่าจำเลยไม่ชำระค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินอาคารตึกแถวที่เช่าซึ่งค้างชำระอยู่ 2 ปี คือปี 2535 และปี 2536 ปีละ 85,050 บาท รวมเป็นเงิน170,000 บาท รวมทั้งค่าภาษีเพิ่มอีกร้อยละ 10 จำนวน 17,010 บาทรวมเป็นเงิน 187,110 บาท อันเป็นการผิดต่อสัญญาประนีประนอมยอมความศาลชั้นต้นได้ออกหมายบังคับคดีตามที่โจทก์ขอ
จำเลยยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2537 ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิร้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินที่โจทก์อ้างว่าจำเลยค้างชำระได้ ขอให้ยกเลิกหมายบังคับคดีที่ให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยและจัดการให้โจทก์เข้าครอบครองตึกแถวพิพาทฉบับลงวันที่ 10 มิถุนายน 2537
โจทก์แถลงคัดค้านว่า การออกหมายบังคับคดีของศาลชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องของจำเลยกับคำแถลงคัดค้านของโจทก์และคำแถลงรับกันของคู่ความทั้งสองฝ่ายแล้ว เห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องสืบพยานทั้งสองฝ่าย จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 6 กันยายน 2537 แล้ววินิจฉัยว่าการที่จำเลยไม่ชำระค่าภาษีโรงเรือนดังกล่าวเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำให้โจทก์มีสิทธิเพียงบังคับคดีให้จำเลยออกจากตึกพิพาทเท่านั้น โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยได้ ดังนั้น การที่ศาลได้ออกหมายบังคับคดีในส่วนที่ให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยด้วยจึงไม่ชอบ มีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลย แต่ให้แก้ไขหมายบังคับคดีฉบับลงวันที่ 10มิถุนายน 2537 โดยให้ยกเลิกการบังคับคดีในส่วนที่ศาลสั่งให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยออกเสีย
โจทก์ และ จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนเฉพาะอุทธรณ์ของโจทก์ และให้ยกอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยเป็นการชอบหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า อุทธรณ์ของจำเลยไม่เกี่ยวกับประเด็นโดยตรงของคดี แต่เป็นการอุทธรณ์ในชั้นบังคับคดีว่าจำเลยได้กระทำผิดข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความเรื่องการไม่ชำระค่าภาษีโรงเรือนให้แก่โจทก์หรือไม่ ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามมิให้อุทธรณ์ไว้ คู่ความย่อมมีสิทธิอุทธรณ์ได้โดยไม่ต้องถือตามทุนทรัพย์ของคดีเดิม ซึ่งไม่เหมือนกับคดีเกี่ยวกับการบังคับวงศ์ญาติและบริวารของผู้ถูกฟ้องขับไล่ อันจักต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสาม นั้นเห็นว่า แม้ว่าคดีนี้จะมิใช่คดีเกี่ยวกับการบังคับวงศ์ญาติและบริวารของผู้ถูกฟ้องขับไล่ อันจักต้องพิจารณาข้อห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสาม ก็ตาม แต่คดีเดิมของเรื่องนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกแถวพิพาทซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละสี่พันบาท ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 วรรคสอง อุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ชั้นบังคับคดีอันเป็นสาขาก็ย่อมต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นเดียวกันที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยให้นั้นชอบแล้วฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน