แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ทั้งในส่วนฟ้องและฟ้องแย้ง ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งสองส่วน รวมกันเป็นเงิน 1,750 บาท เมื่อจำเลยทั้งสองชำระค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์มา 900 บาท ถือว่าเป็นการชำระค่าขึ้นศาลในส่วนฟ้องของโจทก์ครบถ้วนแล้ว ที่จำเลยทั้งสองเพิกเฉยไม่ดำเนินการเสียค่าขึ้นศาลให้ครบถ้วนตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดจึงเป็นกรณีที่จำเลยทั้งสองทิ้งฟ้องอุทธรณ์เฉพาะในส่วนฟ้องแย้ง ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ต้องดำเนินคดีในส่วนฟ้องตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองต่อไป และผลแห่งการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 8 อาจนำไปสู่การจำกัดสิทธิฎีกาของคู่ความได้ เพราะทุนทรัพย์ที่พิพาทกันไม่เกินห้าหมื่นบาท จึงให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิจารณาพิพากษาคดีในส่วนของโจทก์ใหม่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 247 (เดิม) ประกอบมาตรา 243 (1)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองและบริวารออกจากโรงเรือนและที่ดินพิพาทและส่งมอบให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายเดือนละ 2,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะออกจากโรงเรือนและที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องกับขอให้บังคับโจทก์ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาทและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้จำเลยทั้งสอง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากโรงเรือนและที่ดินโฉนดเลขที่ 12567 เลขที่ดิน 13 ตำบลท่าประจะ อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช และส่งมอบโรงเรือนและที่ดินพิพาทคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย และให้ชำระค่าเสียหายเดือนละ 900 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2555) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะส่งมอบโรงเรือนและที่ดินพิพาทคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนด ค่าทนายความให้ 5,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาว่า จำเลยทั้งสองทิ้งฟ้องอุทธรณ์ ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าในชั้นอุทธรณ์จำเลยทั้งสองเสียค่าขึ้นศาลขาดไป 850 บาท ศาลอุทธรณ์ภาค 8 จึงให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสองเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่มให้ถูกต้องครบถ้วนภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด เสร็จแล้วจึงให้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไปได้ ศาลชั้นต้นออกหมายนัดให้จำเลยทั้งสองมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ในวันที่ 22 ตุลาคม 2556 เวลา 9 นาฬิกา และสั่งให้จำเลยทั้งสองเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่มให้ถูกต้องครบถ้วนก่อนหรือภายในวันนัดปรากฏว่าในการส่งหมายให้จำเลยทั้งสองโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับมีบุคคลอายุเกินยี่สิบปีเป็นผู้รับหมายนัดไว้แทนเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2556 นอกจากนั้นทนายจำเลยทั้งสองยังรับหมายนัดไว้เองเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2556 เช่นกัน เมื่อถึงวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 จำเลยทั้งสองไม่มาและไม่ได้เสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่มให้ถูกต้องครบถ้วน ที่จำเลยทั้งสองฎีกาอ้างว่าจำเลยที่ 1 ต้องไปทำงานที่จังหวัดชุมพร ส่วนจำเลยที่ 2 ทำงานที่กรุงเทพมหานคร นางสาวกรรณิการ์ บุตรของจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับหมายไว้แทน แต่นางสาวกรรณิการ์เพิ่งเปิดอ่านหมายนัดก่อนวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ประมาณ 2 ถึง 3 วัน จำเลยทั้งสองจึงทราบวันนัดอย่างกะทันหัน ประกอบกับขณะนางสาวกรรณิการ์โทรศัพท์แจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบวันนัดนั้นก็บอกแต่เพียงว่าให้มาศาลไม่ได้บอกรายละเอียดว่าให้มาทำอะไรที่ศาลบ้าง จำเลยทั้งสองจึงไม่ทราบว่าต้องมาเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่มให้ครบถ้วนเสียก่อนนั้น เห็นว่า ในการส่งหมายนัดให้แก่จำเลยทั้งสองนั้น ศาลได้ส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ จึงถือว่าหมายนัดที่ส่งโดยเจ้าพนักงานไปรษณีย์มีผลเสมือนเจ้าพนักงานศาลเป็นผู้ส่ง เมื่อปรากฏว่าเจ้าพนักงานไปรษณีย์นำส่ง ณ ภูมิลำเนาของจำเลยทั้งสองและนางสาวกรรณิการ์ ซึ่งมีอายุเกินยี่สิบปีเป็นผู้รับหมายนัดถึงจำเลยทั้งสองไว้ ถือว่าได้มีการส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 และให้เสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่มให้ถูกต้องครบถ้วนก่อนหรือภายในวันนัดแก่จำเลยทั้งสองโดยถูกต้องตามกฎหมายแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 73 ทวิ ประกอบมาตรา 76 วรรคหนึ่ง การที่นางสาวกรรณิการ์รับหมายนัดซึ่งเป็นจดหมายลงทะเบียนตอบรับของศาลที่ส่งถึงมารดาและน้าตามวิญญูชนนางสาวกรรณิการ์ย่อมตระหนักดีว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องรีบแจ้งให้มารดาและน้าทราบโดยเร็ว ตามเอกสารใบตอบรับไปรษณีย์ภัณฑ์ลงทะเบียนปรากฏว่านางสาวกรรณิการ์รับหมายนัดไว้ตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2556 ก่อนถึงวันนัดของศาลชั้นต้นกว่า 50 วัน ที่จำเลยทั้งสองอ้างว่านางสาวกรรณิการ์โทรศัพท์แจ้งว่ามีหมายนัดให้มาศาลก่อนถึงวันนัดประมาณ 2 ถึง 3 วัน จึงเป็นเรื่องผิดปกติทำให้ขาดความน่าเชื่อถือ นอกจากนี้จำเลยทั้งสองก็ไม่ได้ติดต่อให้ทนายจำเลยทั้งสองมาศาลในวันนัดเพื่อให้ทนายจำเลยทั้งสองแถลงถึงเหตุขัดข้องใด ๆ ให้ศาลทราบอีกทั้งทนายจำเลยทั้งสองก็ทราบวันนัดแต่ไม่มาศาลเช่นกัน จึงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองเพิกเฉยไม่เสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่มให้ครบถ้วนก่อนหรือภายในวันที่ 22 ตุลาคม 2556 ตามที่ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไว้ ถือว่าจำเลยทั้งสองทิ้งฟ้องอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาแพ่ง มาตรา 174 (2) ประกอบมาตรา 246 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
อย่างไรก็ดี คดีนี้จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ทั้งในส่วนฟ้องและฟ้องแย้ง ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งสองส่วนรวมกันเป็นเงิน 1,750 บาท เมื่อจำเลยทั้งสองชำระค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์มา 900 บาท ย่อมถือได้ว่าเป็นการชำระค่าขึ้นศาลในส่วนฟ้องของโจทก์ครบถ้วนแล้ว การที่จำเลยทั้งสองเพิกเฉยไม่ดำเนินการเสียค่าขึ้นศาลให้ครบถ้วนตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 ภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด จึงเป็นกรณีที่จำเลยทั้งสองทิ้งฟ้องอุทธรณ์เฉพาะในส่วนฟ้องแย้ง ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ต้องพิจารณาคดีในส่วนฟ้องตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองต่อไป และผลแห่งการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 8 อาจนำไปสู่การจำกัดสิทธิฎีกาของคู่ความได้ เพราะคดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันไม่เกินห้าหมื่นบาท จึงเห็นควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิจารณาพิพากษาคดีในส่วนฟ้องของโจทก์ใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247 (เดิม) ประกอบมาตรา 243 (1)
อนึ่ง ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทนายความแก่โจทก์ 5,000 บาท เกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ตามตาราง 6 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง สมควรที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 จะต้องแก้ไขให้ถูกต้องเสียด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 เฉพาะในส่วนฟ้องของโจทก์ ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิจารณารวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่ นอกจากที่แก้ให้เป็นตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 8