คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 573/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีมีทุนทรัพย์ไม่เกินสองพันบาทและเป็นคดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละสองพันบาท ซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงแม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงและศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ ก็ถือว่าข้อเท็จจริงนั้นมิได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในชั้นอุทธรณ์ย่อมต้องห้ามมิให้ฎีกา
ผู้มีชื่อยกตึกพิพาทให้บิดาโจทก์ บิดาโจทก์ได้เข้าครอบครอง ตึกพิพาทและให้จำเลยเช่า ถึงหากการยกให้จะมิได้ทำถูกต้องตามแบบ แต่บิดาโจทก์ได้เข้าครอบครองตึกพิพาทนั้นแล้ว ย่อมได้สิทธิครอบครองและอาจได้กรรมสิทธิ์โดยทางครอบครอง จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าและเข้าอยู่ในตึกพิพาทโดยอาศัยสิทธิบิดาโจทก์ จะกล่าวอ้างว่าผู้ให้เช่าไม่ใช่เจ้าของทรัพย์หรือไม่มีสิทธิในทรัพย์ที่เช่าโดยสมบูรณ์หาได้ไม่ กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 133 เมื่อบิดาโจทก์ตาย โจทก์เป็นผู้รับมรดกย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมตึกพิพาทเป็นของนายวินัย นัยนานนท์ บิดาโจทก์ให้จำเลยเช่า นายวินัยตาย โจทก์รับมรดกและแจ้งให้จำเลยทราบแล้วจำเลยไม่ชำระค่าเช่า โจทก์บอกเลิกการเช่าแล้ว จำเลยไม่ยอมออกไปขอให้ขับไล่และให้ใช้ค่าเสียหาย
จำเลยต่อสู้ว่า ตึกพิพาทเป็นของคุณหญิงน้อย และการเช่าไม่มีหลักฐาน โจทก์ฟ้องไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่และให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะค่าเสียหาย
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาของจำเลยสรุปข้อกฎหมายได้เพียงประการเดียวว่าการยกให้ซึ่งตึกพิพาทระหว่างคุณหญิงน้อยกับนายวินัยมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ไม่สมบูรณ์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องและความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรมนั้น จำเลยเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ย่อมกล่าวอ้างขึ้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๓ ฎีกาข้ออื่น ๆ ล้วนแต่เป็นการโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงและบิดเบือนเป็นข้อกฎหมายคดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกินสองพันบาทและเป็นคดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละสองพันบาท ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๔ แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยข้อเท็จจริงมา ก็ถือว่าข้อเท็จจริงนั้นมิได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในชั้นอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๔๙ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ในฎีกาข้อกฎหมายของจำเลย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงแล้วว่า คุณหญิงน้อยยกตึกพิพาทให้นายวินัย นายวินัยได้เข้าครอบครองตึกพิพาท และให้จำเลยเช่าในอัตราค่าเช่าเดือนละ๓๕๐ บาท เมื่อนายวินัยตายตึกพิพาทเป็นมรดกตกทอดได้แก่โจทก์ทั้งสามดังนี้ เป็นกรณีที่จำเลยได้เข้าอยู่ในตึกพิพาทโดยอาศัยสิทธิของนายวินัยความเกี่ยวพันระหว่างนายวินัยและจำเลยไม่เกี่ยวกับการยกให้ซึ่งทรัพย์สินระหว่างคุณหญิงน้อยกับนายวินัย การยกให้จะทำถูกต้องตามแบบหรือไม่ก็ฟังเป็นยุติไม่ได้ เพราะคุณหญิงน้อยเบิกความว่า การยกให้จะทำหลักฐานอะไรกันไว้หรือไม่ จำไม่ได้ถึงหากการยกให้จะไม่ได้ทำถูกต้องตามแบบแต่นายวินัยก็ได้เข้าครอบครองตึกพิพาทนั้นแล้ว ย่อมได้สิทธิครอบครองและอาจได้กรรมสิทธิ์โดยทางครอบครอง จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าจากนายวินัยจะมากล่าวอ้างว่า ผู้ให้เช่าไม่ใช่เจ้าของทรัพย์หรือไม่มีสิทธิในทรัพย์ที่เช่าโดยสมบูรณ์หาได้ไม่ กรณีไม่เข้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๓ เมื่อโจทก์ทั้งสามเป็นผู้รับมรดกของนายวินัย โจทก์ทั้งสามก็มีอำนาจฟ้องคดีนี้
พิพากษายืน

Share