แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ‘จำเลยใช้อุบายหลอกลวง โดยเอาความเท็จมากล่าวว่าจำเลยสามารถใช้วิทยาอาคมทำน้ำธรรมดาให้เป็นน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บทุกชนิดให้หายได้ โดยจำเลยมีเจตนาทุจริตคิดหลอกลวงให้พวกเจ้าทุกข์ส่งเงินให้แก่จำเลย’และว่า’จำเลยใช้อุบายหลอกลวงโดยเอาความเท็จมากล่าวว่าจำเลยมีความสามารถใช้วิทยาคมได้’
และว่า’ จำเลยใช้อุบายหลอกลวงว่าน้ำมนต์ที่จำเลยทำสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บทุกชนิดให้หายได้’ เหล่านี้ย่อมชัดแจ้งตามกฎหมายที่โจทก์ฟ้องไม่เคลือบคลุม
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่า เมื่อระหว่างตั้งแต่วันที่ 12 ถึง 21 กรกฎาคม 2498 เวลากลางวันและกลางคืน จำเลยใช้อุบายหลอกลวงประชาชนในเขตตำบลพานพร้าว อำเภอท่าบ่อ โดยเอาความเท็จมากล่าวว่า จำเลยมีความสามารถใช้วิทยาคมได้โดยจำเลยเอาน้ำธรรมดาใส่ภาชนะและใช้พระเครื่องนาคปรกลงแกว่งในน้ำนั้น สำรวมจิตภาวนามนต์และแผ่เมตตาจิต น้ำนั้นจะกลายเป็นน้ำมนต์อันศักดิ์สิทธิ์สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ทุกชนิดให้หายได้ และตามวันเวลาดังกล่าวแล้วจำเลยได้โฆษณาให้ประชาชนหลงเชื่อว่าน้ำที่จำเลยทำขึ้นดังกล่าวแล้วเป็นน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ จนทำให้ประชาชนหลงเชื่อคำหลอกลวงของจำเลย แล้วซื้อน้ำมนต์ที่จำเลยทำขึ้น คือพลตำรวจโชติ ธรรมพินิจและนายสิบตำรวจตรีไพศาล แลบัวซื้อคนละ 1 ขวด ๆ ละ 2 บาท นายสำรองซื้อ 2 ขวดราคา 4 บาทและมีคนอื่น ๆ อีก จำเลยขายได้เงิน 600 บาท ทั้งนี้โดยจำเลยมีเจตนาทุจริตคิดหลอกลวงบุคคลดังกล่าวแล้วให้ส่งเงินให้แก่จำเลยตามคำหลอกลวง เหตุเกิดที่ตำบลพานพร้าวอำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย เจ้าทุกข์ได้มอบคดีให้เจ้าพนักงานว่ากล่าวเอาโทษแก่จำเลยแล้ว ขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 304 และ 306 และขอให้จำเลยคืนทรัพย์แก่เจ้าทุกข์และคนอื่นด้วย
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานทั้งสองฝ่ายแล้วตัดสินว่าตามฟ้องโจทก์เป็นเรื่องจำเลยพูดจาหลอกลวงเพื่อขายตาม มาตรา 310 และคำฟ้องขัดแย้งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) และโจทก์ไม่บรรยายฟ้องว่าจำเลยหลอกลวงให้ผู้ซื้อหลงเชื่อในแหล่งกำเนิด – สภาพ – คุณภาพ ฯลฯ อันเป็นองค์ประกอบความผิด ทั้งไม่ยืนยันว่าน้ำมนต์ที่จำเลยขายนั้นรักษาโรคภัยไม่ได้เลย จึงได้พิพากษาให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน และพิพากษาว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวไว้ในฟ้องว่า”จำเลยใช้อุบายหลอกลวง โดยเอาความเท็จมากล่าวว่า จำเลยสามารถใช้วิทยาคมทำน้ำธรรมดาให้เป็นน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บทุกชนิดให้หายได้ โดยจำเลยมีเจตนาทุจริตคิดหลอกลวงให้พวกเจ้าทุกข์ส่งเงินให้แก่จำเลย (เป็นค่าน้ำมนต์)” นั้น นับว่าครบองค์ความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 304 และที่กล่าวในข้อต่อมาว่า ” จำเลยใช้อุบายหลอกลวงโดยเอาความเท็จมากล่าวว่าจำเลยมีความสามารถใช้วิทยาคมได้” ก็เป็นข้อที่กล่าวหาว่าจำเลยกระทำการตามความในข้อ 2 มาตรา 306(2) และข้อต่อไปที่โจทก์กล่าวว่า “จำเลยใช้อุบายหลอกลวงว่าน้ำมนต์ที่จำเลยทำสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บทุกชนิดให้หายได้” ก็ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์กล่าวหาว่าที่จำเลยกล่าวนั้นเป็นความเท็จ ไม่จำต้องย้ำความซ้ำจึงพิพากษาว่าฟ้องของโจทก์สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) จึงพิพากษาให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาคดีแล้วพิพากษาใหม่