คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5662-5663/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในระหว่างการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ทั้งสอง จำเลยจะยื่นคำขอตาม ป.วิ.พ. มาตรา 264 ให้รอการบังคับคดีไว้ก่อนเพื่อรอฟังผลคดีอาญาที่จำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ทั้งสองโดยอ้างว่าหากคดีอาญาถึงที่สุดว่า โจทก์ทั้งสองกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่จำเลยผู้เป็นนายจ้างแล้ว จำเลยจะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ทั้งสองตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (1) นั้น หาได้ไม่ เนื่องจากคดีนี้ไม่ได้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลใด และกรณีตามคำขอของจำเลยดังกล่าวก็ไม่ใช่เป็นวิธีการเพื่อบังคับตามคำพิพากษา จึงไม่ต้องด้วยบทกฎหมายข้างต้น

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางสั่งให้รวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันโดยเรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่าโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2
คดีสืบเนื่องจากศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ทั้งสองและจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายให้แก่โจทก์ที่ 1 พร้อมดอกเบี้ย จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืน ระหว่างที่โจทก์ทั้งสองดำเนินการบังคับคดี จำเลยยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดี ศาลแรงงานกลางสั่งให้ยกคำร้อง จำเลยอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ศาลแรงงานกลางสั่งไม่รับอุทธรณ์ จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ศาลฎีกาสั่งยกคำร้องของจำเลย
จำเลยยื่นคำขอเป็นคำร้องอ้างว่าจำเลยได้เป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการจังหวัดสระบุรีฟ้องโจทก์ที่ 1 เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดสระบุรีข้อหาฉ้อโกง โดยมีคำขอส่วนแพ่งให้โจทก์ที่ 1 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 317,575 บาท แก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นโจทก์ร่วมในคดีดังกล่าว ขณะนี้คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล และจำเลยได้ฟ้องโจทก์ที่ 2 เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดนครปฐม ข้อหาปลอมเอกสารสิทธิ ใช้เอกสารสิทธิปลอม และฉ้อโกง คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณา นอกจากนี้จำเลยยังได้ฟ้องโจทก์ที่ 2 ต่อศาลจังหวัดราชบุรีข้อหาละเมิด ให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยเป็นเงิน 500,000 บาท คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาเช่นเดียวกัน เหตุที่จำเลยฟ้องโจทก์ทั้งสองดังกล่าวเนื่องจากโจทก์ทั้งสองกระทำผิดอาญาต่อจำเลยผู้เป็นนายจ้างอันถือว่าโจทก์ทั้งสองทุจริตต่อหน้าที่ และมีวัตถุประสงค์เพื่อขอคุ้มครองสิทธิตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (1) ซึ่งหากศาลในคดีอาญามีคำพิพากษาว่าโจทก์ทั้งสองกระทำผิดอาญาต่อจำเลยผู้เป็นนายจ้างและคดีถึงที่สุด ผลแห่งคดีดังกล่าวจำเลยจะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ทั้งสองตามสิทธิที่กฎหมายดังกล่าวบัญญัติไว้ ทั้งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 26 ถึง มาตรา 30 ได้รับรองให้ความคุ้มครองไว้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่จำเลยและให้จำเลยได้รับความคุ้มครองขอให้รอการบังคับคดีไว้เพื่อรอผลคำพิพากษาในคดีอาญาที่จำเลยฟ้องโจทก์ทั้งสองดังกล่าว
ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า คำพิพากษาคดีอาญาที่จะมีขึ้นต่อไปนั้นไม่มีผลลบล้างคำพิพากษาศาลแรงงานและศาลฎีกา ให้ยกคำร้อง
จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า… เห็นว่า คดีนี้อยู่ในระหว่างที่โจทก์ทั้งสองดำเนินการบังคับคดี ตามคำพิพากษา จำเลยยื่นคำขอเป็นคำร้องขอให้รอการบังคับคดีไว้โดยระบุในคำร้องว่า “คำร้องขอให้คุ้มครองสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264” ซึ่งบทกฎหมายที่จำเลยอ้างในคำร้องดังกล่าวอยู่ในลักษณะ 1 วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา อันเป็นบทบัญญัติถึงวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างการพิจารณา หรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษา แต่คดีนี้ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง คดีถึงที่สุดแล้ว คดีจึงไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลใด และที่จำเลยร้องขอให้รอการบังคับคดีนี้ไว้เพื่อรอฟังผลของคดีอาญาก็ไม่ใช่เป็นวิธีการ เพื่อบังคับตามคำพิพากษา คำร้องขอของจำเลยจึงไม่เข้ามาตรา 264 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ย่อมไม่อาจนำบทบัญญัติที่กล่าวถึงนี้มาอ้างเพื่อขอให้คุ้มครองสิทธิของจำเลยได้ นอกจากนี้ข้ออ้างทั้งข้อเท็จจริงและ ข้อกฎหมายในอุทธรณ์ของจำเลยก็มิได้มีเหตุผลหรือบทบัญญัติใดกำหนดให้ศาลสั่งให้รอการบังคับคดีในกรณีดังกล่าวได้ ที่ศาลแรงงานกลางสั่งยกคำร้องของจำเลย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองสำนวนฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share