แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ปรปักษ์ มีน่าที่ต้องไถ่การจำนำ ถ้าการจำนำนั้นตนได้ทราบแต่ไม่คัดค้าน
ย่อยาว
ได้ความว่า ก.บ.มีที่ดินอยู่แปลงหนึ่งเนื้อที่ ๒๙ ไร่เศษ ซึ่งยังไม่มีโฉนดแลได้แบ่งขายให้จำเลยเสีย ๔ ไร่เศษเปนราคา ๑๐๐ บาทแลได้มอบให้จำเลยปกครองแล้ว เมื่อปี ๑๒๗ ก.บ.เจ้าของเดิมได้รับโฉนดแผนที่มาปรากฎว่าที่ดินส่วนที่ขายให้จำเลยนั้นได้รวมอยู่ในโฉนดนี้ด้วย จำเลยก็ทราบไม่คัดค้าน คงปกครองอยู่ตามเดิม เมื่อ ร.ศ.๑๒๘ ก.บ.ได้จำนองที่ดินตามโฉนดให้แก่บิดามารดาโจทย์แลภายหลังได้ขึ้นเงินอีกก็รวม ๑๓๓๐ บาท ต่อมาโจทย์ได้รับมฤดกแลรับซื้อที่ดินทั้งหมดโดยแก้ทะเบียนเปนการถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนจำเลยก็คงปกครองอยู่ตามเดิม นับตั้งแต่ออกโฉนดจนถึงวันที่โจทย์รับโอนมา ๑๗ ปี ครั้นต่อมาโจทย์จึงทราบว่าจำเลยได้เข้าปกครองอยู่ในส่วนที่จำเลยซื้อไว้ โจทย์จึงฟ้องขับไล่จำเลย ศาลจังหวัดอ่างทองตัดสินให้โจทย์แพ้ ฟังว่าจำเลยได้ปกครองปรปักษ์มา ๑๐ ปีแล้ว แต่ในคำตัดสินไขความไว้ว่า สัญญาจำนองเปนสัญญาติดที่ดิน เมื่อจำเลยได้รับกรรมสิทธิ์โจทย์อาจว่ากล่าวในทางจำนองได้ โจทย์จึงฟ้องขอให้จำเลยไถ่การจำนองเฉภาะส่วนที่จำเลยซื้อไว้ จำเลยต่อสู้ว่าได้ซื้อที่ส่วนนี้จาก ก.บ.แลปกครองมา ๒๐ ปีแล้ว
ฎีกาตัดสินว่า แม้จำเลยจะซื้อไว้จากเจ้าของเดิมก็ดี แต่เมื่อเจ้าพนักงานออกโฉนดให้ ก.บ.เปนเจ้าของทั้งหมดจำเลยทราบไม่คัดค้านแลเวลาจำนองที่ดินจำเลยก็ทราบแต่ไม่คัดค้านเรียกว่านอนหลับทับสิทธิ พฤติการณ์อันนี้ทำให้ผู้รับจำนองหลงเชื่อว่าเปนที่ดินของ ก.บ.การเปนดังนี้เมื่อจำเลยคงถือว่ากรรมสิทธิ์ในส่วนนี้เปนของจำเลยแล้ว การจำนองย่อมติดอยู่ด้วย จำเลยมีน่าที่ต้องไถ่ จึงพิพากษากลับคำตัดสินศาลอุทธรณ์ให้จำเลยไถ่ที่ดินรายนี้