คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 56/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าบำเหน็จจากจำเลย โดยบรรยายว่า โจทก์ทำการเป็นตัวแทนนายหน้าขายรถแทร็คเตอร์และอุปกรณ์เป็นเงินสด 628,512 บาท ซึ่งจำเลยจะต้องจ่ายค่าบำเหน็จให้โจทก์ร้อยละ 12 เป็นเงิน 75,421.64 บาท และโจทก์เป็นนายหน้าจัดหาผู้เช่าซื้อเข้าทำสัญญาเช่าซื้อรถแทร็คเตอร์และอุปกรณ์จากจำเลยหลายรายรวมเป็นค่าเช่าซื้อ 316,759.60 บาท รวมค่าบำเหน็จนายหน้าทั้งสิ้น 392,181.24 บาท จำเลยชำระให้บ้างแล้วยังค้างอยู่อีก 265,149.64 บาท มิได้บรรยายรายละเอียดโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาว่า โจทก์ได้กระทำการเป็นตัวแทนขายให้แก่จำเลยตั้งแต่วันไหนถึงวันไหน โจทก์ได้จัดการชี้ช่องให้ผู้ใดมาเป็นผู้เช่าซื้อรถแทร็คเตอร์และอุปกรณ์ ทำสัญญากันเมื่อใด จำนวนรถกี่คัน ราคาคันละเท่าใด บุคคลใดเป็นผู้เช่าซื้อด้วยราคาเท่าใดและโจทก์ได้เก็บเงินค่าเช่าซื้อส่งมอบให้แก่จำเลยแล้วเท่าใด ทำให้จำเลยเสียเปรียบและต่อสู้คดีได้ไม่ถูกต้องและครบถ้วน เป็นฟ้องเคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการขายและให้เช่าซื้อรถแทร็คเตอร์ยี่ห้อจอห์นเดียร์ เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๒ โจทก์ได้ทำสัญญาเป็นตัวแทนจำหน่ายรถแทร็คเตอร์และเครื่องอุปกรณ์ของรถกับจำเลย นอกจากนั้นจำเลยยังตกลงยอมให้โจทก์กระทำการเป็นนายหน้าในการขายหรือให้เช่าซื้อรถแทร็คเตอร์ และเครื่องอุปกรณ์ดังกล่าวแล้วด้วย โดยจำเลยสัญญาว่าจะให้ค่าบำเหน็จนายหน้าแก่โจทก์ดังนี้คือ ในกรณีที่ทำสัญญาซื้อขายกันด้วยเงินสด จำเลยจะจ่ายค่าบำเหน็จนายหน้าให้โจทก์ในอัตราร้อยละ ๑๒ ของราคาซื้อขาย ส่วนกรณีที่โจทก์จัดหาผู้เช่าซื้อเข้ามาทำสัญญาได้ จำเลยจะจ่ายค่าบำเหน็จนายหน้าให้ในอัตราร้อยละ ๑๐ ของราคาที่เช่าซื้อ
โจทก์ดำเนินการเป็นตัวแทนทำการขายรถแทร็คเตอร์และเครื่องอุปกรณ์ด้วยเงินสดรวม ๖๒๘,๕๑๒ บาท ซึ่งจำเลยจะต้องจ่ายค่าบำเหน็จให้โจทก์เป็นเงิน ๗๕,๔๒๑.๖๔ บาท และโจทก์จัดหาผู้เช่าซื้อรถแทร็คเตอร์กับเครื่องอุปกรณ์ได้รวมเป็นเงิน ๓,๑๖๗,๕๙๖ บาท จำเลยจะต้องจ่ายค่าบำเหน็จนายหน้าให้โจทก์เป็นเงิน ๓๑๖,๗๕๙.๖๐ บาท รวมเงินค่าบำเหน็จนายหน้าที่จำเลยจะต้องชำระแก่โจทก์เป็นเงิน ๓๙๒,๑๘๑.๒๔ บาท จำเลยได้จ่ายค่าบำเหน็จนายหน้าให้โจทก์ไว้เพียง ๑๒๗,๐๓๒ บาท คงค้างอีก ๒๖๕,๑๔๕.๖๔ บาท และจำเลยได้บอกเลิกสัญญากับโจทก์ เป็นอันว่าสัญญาเป็นตัวแทนและนายหน้าสิ้นสุดลงแล้ว แต่จำเลยยังค้างค่าบำเหน็จนายหน้าดังกล่าวแล้วอยู่ โจทก์ทวงถามจำเลยคงเพิกเฉย โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระเงินให้โจทก์ ๒๖๕,๑๔๙.๖๔ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จและให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมค่าทนายความแทนโจทก์
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมไม่ได้ระบุให้ชัดแจ้งว่าโจทก์ขายหรือจัดหาผู้เช่าซื้อรถแทร็คเตอร์ให้แก่ใคร เมื่อใดเป็นราคาเท่าใดหาให้จำเลยหลงข้อต่อสู้ เมื่อโจทก์เข้ามาเป็นผู้แทนจำหน่ายรถแทร็คเตอร์และเครื่องอุปกรณ์ให้แก่จำเลยตั้งแต่วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๒ เป็นต้นมา โจทก์เป็นนายหน้าขายรถแทร็คเตอร์และเครื่องอุปกรณ์จำนวน ๔ คัน รวมราคา ๕๙๗,๓๗๗ บาท โจทก์เก็บเงินส่งมอบให้จำเลยจำนวน ๓๙๖,๐๐๐ บาท โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าบำเหน็จนายหน้าในอัตราร้อยละ ๑๐ คิดเป็นเงิน ๓๙,๖๐๐ บาท และโจทก์จัดหาผู้เช่าซื้อเข้าทำสัญญาได้จำนวนรถ ๒๐ คัน รวมราคา ๓,๑๖๓,๙๔๙ บาท โจทก์เก็บเงินค่าเช่าซื้อส่งมอบแก่จำเลยแล้วจำนวน ๑,๑๔๗,๔๗๐ บาท คิดค่านายหน้าเป็นเงิน ๑๑๔,๗๔๗ บาท รวมเป็นค่าบำเหน็จนายหน้าทั้งสิ้น ๑๕๔,๓๔๗ บาท แต่โจทก์เป็นหนี้ค่านำเครื่องอุปกรณ์ของจำเลยไปขายเป็นเงิน ๑๗,๘๔๐ บาท เมื่อหักกลบลบหนี้กันแล้ว โจทก์คงมีสิทธิรับเงินค่าบำเหน็จนายหน้าอยู่ ๑๓๖,๕๐๗ บาท แต่จำเลยได้ชำระให้แก่โจทก์เสร็จสิ้นไปแล้ว ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมความแทนจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
วินิจฉัยว่า ในฟ้องโจทก์มิได้บรรยายรายละเอียดโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาว่าโจทก์ได้กระทำการเป็นตัวแทนขายรถแทร็คเตอร์และอุปกรณ์ให้แก่จำเลยตั้งแต่วันไหนถึงวันไหน จำเลยขายรถให้แก่ผู้ใดจำนวนกี่คัน ราคาคันละเท่าใด ผู้ซื้อได้ชำระราคาให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้วหรือไม่และการเป็นนายหน้าก็มิได้บรรยายรายละเอียดให้ชัดแจ้งว่า จำเลยได้จัดหาชี้ช่องให้ผู้ใดมาเป็นผู้เช่าซื้อรถแทร็คเตอร์และอุปกรณ์ทำสัญญากันเมื่อใด จำนวนรถกี่คัน ราคาคันละเท่าใด บุคคลใดเป็นผู้เช่าซื้อด้วยราคาเท่าไร และโจทก์ได้เก็บเงินค่าเช่าซื้อส่งมอบให้แก่จำเลยแล้วเท่าไร ทั้งนี้ทำให้จำเลยเสียเปรียบไม่สามารถทราบข้อหาได้ชัดแจ้ง และต่อสู้คดีได้ไม่ถูกต้องครบถ้วนเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ ดังนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๔๙๙/๒๕๑๔ คดีระหว่างบริษัทยิบอินซอย จำกัด โจทก์ นายเฟือ กาญจนะโกมล จำเลย ส่วนฎีกาของโจทก์ที่อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๓๘/๒๕๐๒ มานั้น ปรากฏตามฟ้องในฎีกาเป็นการเรียกค่านายหน้าที่จัดการชี้ช่องเพียงรายเดียวและในฟ้องนั้นบรรยายรายละเอียดไว้ชัดแจ้งกว่าคดีนี้ รูปคดีน่าจะถือตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๔๙๙/๒๕๑๔ มากกว่า ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น เมื่อฟังว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่นๆ ต่อไป ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยศาลอุทธรณ์ที่พิพากษายกฟ้องโจทก์
พิพากษายืน

Share