คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 558/2495

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ศาลชั้นต้นไม่รับฟังว่านายตำรวจสันติบาลผู้ทำการสอบสวนคดีหนึ่งเป็นผู้มีอำนาจสอบสวนเนื่องจากโจทก์มีแต่คำนายตำรวจผู้สอบสวนคดีเดียวมาเบิกความว่า ตำรวจสันติบาลมีตำแหน่งหน้าที่สอบสวนคดีได้ทั้วราชอาณาจักร โดยมิได้อ้างเหตุว่าอาศัยบทกฎหมายข้อบังคับหลักฐานอันใดมาแสดง จึงรับฟังไม่ได้และพิพากษายกฟ้องนั้นเป็นการพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง เมื่อศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน โจทก์ย่อมฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา 219

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ควบคุมการส่งออกไปนอกและนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง ๆ พ.ร.บ.ศุลกากร ฯ พ.ร.บ.สำรวจและห้ามกักกัน ฯ ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๒๓๐
จำเลยให้การปฏิเสธความรับผิด
ในระหว่างสืบพยานโจทก์ จำเลยได้ยื่นคำร้องเพิ่มเติมคำให้การว่า โจทก์ฟ้องโดยอาศัยการสอบสวนของตำรวจสันติบาล ซึ่งความจริงตำรวจสันติบาลไม่มีอำนาจสอบสวน ฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลอาญาเห็นว่า คดีฟังไม่ได้ว่ามีการสอบสวนโดยชอบแล้ว จึง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาฎีกาของโจทก์ เห็นว่า คดีนี้ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฟังว่า นายตำรวจสันติบาลผู้ทำการสอบสวนดคีนี้เป็นผู้มีอำนาจสอบสวนนั้น เนื่องจากโจทก์มีแต่คำ ร.ต.อ.รรัตน์ วัฒน์มหาตม์ ผู้สอบสวนคนเดียวเบิกความว่า ตำรวจสันติบาลมีตำแหน่งหน้าที่สอบสวนคดีได้ทั่วราชอาณาจักร โดยมิได้อ้างเหตุว่าอาศัยอำนาจบทกฎหมายข้อบังคับหลักฐานอันใดมาแสดง จึงรับฟังยังไม่ได้ ฉะนั้นการที่ศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้อง จึงเป็นการพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง เมื่อศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนโจทก์ย่อมฎีกาไม่ได้ ต้องบทห้ามตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา ๒๑๙.
จึงให้ยกฎีกาโจทก์

Share