แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่โจทก์จะได้รับความเดือดร้อนถึงกับต้องใช้สิทธิเพื่อยังความเดือดร้อนให้สิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1337 นั้น จะต้องได้ความว่าเป็นความเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควรจำเลยปลูกสร้างอาคารและกำแพงล้อมรั้วในที่ดินของจำเลยเอง ไม่ปรากฏว่าได้กลั่นแกล้งเพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหาย อันเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 421 แต่อย่างใด เมื่อที่ดินของโจทก์ด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกยังเป็นที่ว่างเปล่าไม่มีรั้วล้อมรอบ โจทก์ก็ย่อมสามารถเดินผ่านออกไปสู่ทางสาธารณะด้านวัดราษฎร์ศรัทธาธรรม (ถนนสุขุมวิท 93) และถนนอ่อนนุชได้ ส่วนด้านทิศตะวันตกโจทก์แถลงต่อศาลเองว่าหากมีการปิดกั้นโจทก์ไม่สามารถเดินออกไปสู่ทางสาธารณะได้ แสดงว่าหากโจทก์จะเดินออกไปก็ย่อมเดินได้ทั้งเป็นเรื่องในอนาคตที่โจทก์คาดหมายไปเอง นอกจากนี้ปรากฏว่าโจทก์มิได้มีบ้านปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์ บ้านที่โจทก์อยู่อาศัยคงเป็นบ้านที่ บ. ปลูก และโจทก์มีฐานะเป็นเพียงผู้อาศัย การที่จำเลยสร้างอาคารคอนกรีตสูง 3 ชั้น และกำแพงรั้วปิดกั้นตามแนวเขตที่ดินของจำเลย จึงมิได้เป็นเหตุให้โจทก์เจ้าของที่ดินข้างเคียงได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนอาคารคอนกรีต 3 ชั้น ที่ปิดกั้นหน้าที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศใต้ยาว 30 เมตร ออก โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายและปรับปรุงที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิม
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและอาคารโครงการเดอะควีนสเพลทมีแนวเขตที่ดินด้านทิศเหนือติดต่อกับที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศใต้ จำเลยได้สร้างอาคารและกำแพงล้อมรั้วปิดกั้นตลอดแนวติดต่อระหว่างที่ดินของโจทก์กับที่ดินของจำเลยดังกล่าว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1337 อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์จะได้รับความเดือดร้อนถึงกับต้องใช้สิทธิเพื่อยังความเดือดร้อนให้สิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1337 นั้นจะต้องได้ความว่าเป็นความเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควร คดีนี้จำเลยปลูกสร้างอาคารและกำแพงล้อมรั้วในที่ดินของจำเลยเอง ไม่ปรากฏว่าได้กลั่นแกล้งเพื่อให้โจทก์ได้รับความเสียหายอันเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 421 แต่อย่างใด ตามรายงานการเดินเผชิญสืบเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2539 ที่ดินของโจทก์เป็นที่โล่งไม่มีสิ่งปลูกสร้าง ด้านทิศตะวันออกจะมีบ้านน้องชายโจทก์ปลูกอยู่สภาพเป็นบ้านไม้ชั้นเดียว มีอายุประมาณ 10 ปี ด้านทิศเหนือมีรั้วไม้ยาวตลอดแนวสภาพมีหญ้าปกคลุมสูง โจทก์ไม่เคยเดินทางออกในด้านดังกล่าว ด้านทิศตะวันตกเป็นที่ดินของผู้อื่น ส่วนด้านทิศใต้ติดกับรั้วอิฐบล็อกยาวประมาณ 30 เมตร สูงประมาณ 1.80 เมตร โจทก์แถลงว่าที่ดินของโจทก์และจำเลยเป็นที่ท้องนา โดยโจทก์สามารถเดินผ่านที่ดินของจำเลยออกไปสู่วัดราษฎร์ศรัทธาธรรม ถนนสุขุมวิท 93 และถนนอ่อนนุชได้เหนือจากที่ดินของโจทก์ทางทิศใต้เคยมีบ่อปลาเฉียงไปทางทิศตะวันออกห่างจากที่ดินของโจทก์ประมาณ 80 เมตร ดังนี้ เมื่อที่ดินของโจทก์ด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกยังเป็นที่ว่างเปล่าไม่มีรั้วล้อมรอบ โจทก์ก็ย่อมสามารถเดินผ่านออกไปสู่ทางสาธารณะด้านวัดราษฎร์ศรัทธาธรรม (ถนนสุขุมวิท 93) และถนนอ่อนนุชได้ ส่วนด้านทิศตะวันตกโจทก์แถลงต่อศาลเองว่าหากมีการปิดกั้นโจทก์ไม่สามารถเดินออกไปสู่ทางสาธารณะได้แสดงว่าหากโจทก์จะเดินออกไปก็ย่อมเดินได้ ทั้งเป็นเรื่องในอนาคตที่โจทก์คาดหมายไปเอง นอกจากนี้ปรากฏว่าโจทก์มิได้มีบ้านปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์แต่อย่างใด บ้านที่โจทก์อยู่อาศัยคงเป็นบ้านที่นายบุญล้อมปลูกและโจทก์มีฐานะเป็นเพียงผู้อาศัยไม่ใช่เจ้าของบ้าน เพราะก่อนหน้านี้โจทก์ก็อยู่ที่อื่นเพิ่งจะเข้ามาอยู่ที่บ้านนายบุญล้อมเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2537 นั้นเอง ทั้งนายปรีชา พันธ์กุ้ย พยานจำเลยเบิกความว่า เดิมที่ดินของจำเลยเป็นของนางปราณี วงศ์ถ้วยทอง พยานเป็นผู้ดูและเช่าที่ดินดังกล่าวจากนางปราณีเพื่อทำนาและทำบ่อเลี้ยงปลาประมาณปี 2529 หลังจากขุดบ่อเลี้ยงปลาแล้ว ได้ทำคันดินล้อมรอบที่ดินทั้งแปลง นายบุญล้อมก็เดินบนคันดิน แนวเขตระหว่างที่ดินของโจทก์กับที่ดินของจำเลยออกสู่ทางสาธารณะด้านทิศตะวันตกตลอดมา ไม่เคยเดินเข้ามาหรือมีทางเดินในที่ดินของจำเลย เห็นว่า นายปรีชาเคยพักอาศัยและทำประโยชน์ในที่ดินของจำเลยเป็นเวลานาน ย่อมรู้จักสภาพที่ดินของโจทก์จำเลยเป็นอย่างดี เชื่อว่าที่ดินของจำเลยเดิมมีสภาพเป็นบ่อเลี้ยงปลาและท้องนาจึงไม่น่าจะมีทางเดินผ่านที่ดินของจำเลยส่วนพยานโจทก์เบิกความในข้อนี้ลอย ๆ ไม่น่าเชื่อว่าโจทก์เคยใช้ที่ดินของจำเลยเดินเข้าออกสู่ทางสาธารณะ ดังนั้น การที่จำเลยสร้างอาคารคอนกรีตสูง 3 ชั้น และกำแพงรั้วปิดกั้นตามแนวเขตที่ดินของจำเลย จึงมิได้เป็นเหตุให้โจทก์เจ้าของที่ดินข้างเคียงได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน