คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5563/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้จำเลยที่2อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนจำเลยทั้งสอง6,000บาทโดยไม่ได้พิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา141(5)และ167วรรคหนึ่งศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการ เดิมจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2892และ 4922 โดยจำนองไว้แก่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัดในวงเงิน 1,000,000 บาท ต่อมาวันที่ 29 กรกฎาคม 2529จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาจะซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 43395 และ43397 เนื้อที่รวม 2 งาน 59 ตารางวา ซึ่งอยู่ติดต่อกับที่ดินข้างต้นเพื่อเป็นทางออกสู่ทางสาธารณประโยชน์จากนายเปล่งและนางสาวลออ เธียรประสิทธิ์ ในราคา 2,000,000 บาทวางมัดจำไว้ 50,000 บาท โดยจำเลยที่ 2 จะต้องชำระราคาที่ดินส่วนที่ค้างภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2529จำเลยที่ 2 จึงติดต่อโจทก์ให้หาแหล่งเงินกู้เพื่อชำระหนี้ข้างต้นโจทก์จึงเสนอว่าควรจะดำเนินการก่อสร้างบ้านจัดสรรแบบตึกแถว (ทาวน์เฮาส์) ชนิด 2 ชั้น และ 3 ชั้น ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างได้ประมาณ 126 หน่วย เพื่อจำหน่ายแก่บุคคลภายนอกและจะได้กำไรไม่น้อยกว่า 6,000,000 บาท จำเลยที่ 2 ตกลงและมอบหมายให้โจทก์เป็นผู้จัดทำโครงการ ติดต่อแหล่งเงินกู้และควบคุมการก่อสร้างตามโครงการโดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องชำระหนี้ธนาคารและราคาที่ดินภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2529โดยให้โจทก์ดำเนินการในนามของจำเลยที่ 1 และจำเลยทั้งสองตกลงให้ค่าจ้างโจทก์ในอัตราร้อยละสามสิบของกำไรสุทธิจากโครงการดังกล่าวนอกเหนือจากเงินเดือนเมื่อเริ่มทำการก่อสร้างแล้ว ใช้ชื่อโครงการว่า “ทองประเสริฐวิลล่า”เพื่อความสะดวกในการทำงาน จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการของจำเลยที่ 1 ให้โจทก์เป็นกรรมการร่วมด้วย และมีอำนาจร่วมกับกรรมการอื่นลงลายมือชื่อประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 กระทำการแทนจำเลยที่ 1 ได้ โจทก์เริ่มดำเนินการจัดทำโครงการเสนอขอกู้เงินจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด โดยกู้ยืมเงินเป็นงวดเพื่อใช้ในการก่อสร้าง ทั้งนี้โครงการดังกล่าวจะได้รับผลกำไรอย่างต่ำเป็นเงิน 6,177,233 บาท และธนาคารกรุงเทพจำกัด อนุมัติโครงการให้เงินกู้งวดแรก 4,500,000 บาท เพื่อชำระหนี้ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด และผู้จะขายที่ดินหลังจากนั้นโจทก์ได้เริ่มติดต่อทางราชการเพื่อขออนุญาตปลูกสร้างและดำเนินการก่อสร้างตามโครงการต่อไป ต่อมาเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2530 จำเลยทั้งสองได้ขายที่ดินและโครงการทองประเสริฐวิลล่าให้แก่บุคคลภายนอกเป็นเงิน35,000,000 บาท โจทก์จึงติดต่อทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระค่าจ้างแก่โจทก์หลายครั้ง แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงขอบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,968,992 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินจำนวน 1,853,169 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า ไม่เคยมอบหมายหรือว่าจ้างโจทก์ให้เป็นผู้ดำเนินการจัดทำโครงการ ติดต่อแหล่งเงินกู้ควบคุมการก่อสร้างตามโครงการก่อสร้างบ้าน และไม่เคยตกลงจะให้ค่าจ้างโจทก์แต่อย่างใด ส่วนสาเหตุที่โจทก์ต้องเข้ามาร่วมเป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 ก็เพื่อให้การโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินของจำเลยที่ 2 ไปเป็นของจำเลยที่ 1 ไม่ขัดต่อระเบียบของกรมที่ดินเท่านั้นเนื่องจากจำเลยที่ 1 มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจอยู่จึงกระทำไม่ได้เพราะเท่ากับผู้ซื้อผู้ขายเป็นบุคคล>เดียวกัน โจทก์จึงเสนอตัวเข้าเป็นกรรมการของจำเลยที่ 1โดยไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้น โจทก์ไม่เคยเรียกร้องค่าตอบแทนจากจำเลยทั้งสอง ที่โจทก์เข้ามาเกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1ก็เพื่อจะขอรับเหมาปลูกสร้างอาคารตามโครงการให้แก่จำเลยที่ 1การที่จำเลยที่ 2 ขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 และนำที่ดินเข้าจำนองแก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด จำนวน 4,500,000 บาท นั้นโจทก์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด การที่จำเลยที่ 1ต้องขายที่ดินให้แก่บุคคลอื่นไปก็เพราะธนาคารไม่ยอมให้เงินกู้เพิ่มแก่จำเลยที่ 1 ตามที่ได้อนุมัติโครงการไว้ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสองโดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
โจทก์และจำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนจำเลยทั้งสอง 6,000 บาท
โจทก์และจำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าเดิมจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2892และ 4922 ตำบลหัวหมากใต้ อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานครมีเนื้อที่รวมกัน 15 ไร่ 1 งาน 67 ตารางวา ซึ่งติดจำนองธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด ในจำนวนเงิน 2,000,000 บาทและจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาจะซื้อที่ดินตามโฉนดเลขที่ 43395และ 43397 ตำบลหัวหมาก อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานครรวมเนื้อที่ 2 งาน 59 ตารางวาในราคา 1,000,000 บาทจากนายเปล่งและนางสาวลออ เธียรประสิทธิ์ โดยวางมัดจำไว้ 50,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 950,000 บาท จะชำระในวันไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในวันที่ 30 ธันวาคม 2529ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้กู้เงินจากธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขาถนนพัฒนาการ นำเงินไปไถ่จำนองจากธนาคารไทยพาณิชย์จำกัด 2,000,000 บาท และนำไปชำระค่าที่ดินให้นายเปล่งและนางสาวลออ 950,000 บาท และนำที่ดินทั้ง 4 แปลงจำนองค้ำประกันเงินกู้แก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขาถนนพัฒนาการ ในวงเงิน 4,500,000 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2530 จำเลยที่ 2 ได้ขายที่ดินทั้งหมด 4 แปลงให้แก่บริษัทสากลสิน จำกัด ในราคา 35,000,000 บาท มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองได้ว่าจ้างให้โจทก์จัดหาแหล่งเงินกู้และจัดทำโครงการบ้านจัดสรรโดยตกลงจะแบ่งกำไรให้โจทก์ร้อยละสามสิบของกำไรสุทธิหรือไม่และจำเลยทั้งสองจะต้องแบ่งกำไรให้โจทก์ตามจำนวนที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า พยานหลักฐานจำเลยทั้งสองมีเหตุผลและน้ำหนักในการรับฟังดีกว่าพยานหลักฐานโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองได้ว่าจ้างโจทก์ให้จัดหาแหล่งเงินกู้และจัดทำโครงการบ้านจัดสรร โดยตกลงจะแบ่งกำไรให้โจทก์ร้อยละสามสิบของกำไรสุทธิตามฟ้อง
คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชนะคดีและพิพากษาให้โจทก์ใช้เฉพาะค่าทนายความแก่จำเลยทั้งสองโดยมิได้พิพากษาในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมเป็นการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่าคดีนี้จำเลยที่ 2 อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนจำเลยทั้งสอง6,000 บาท โดยไม่ได้พิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 141(5)และ 167 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนจำเลยที่ 2 ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับทั้งสองฝ่าย

Share