คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5555/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามสัญญาเช่าดำเนินกิจการสถานีบริการและยืมบริภัณฑ์ โจทก์ให้เช่าสถานีบริการน้ำมันตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ ส่วนบริภัณฑ์นั้นโจทก์ให้ผู้เช่ายืมใช้เพื่อประโยชน์ในการจำหน่ายน้ำมันของผู้เช่า โดยมีเงื่อนไขว่าผู้เช่าต้องซื้อผลิตภัณฑ์จากโจทก์โดยตรงเท่านั้น บริภัณฑ์ที่โจทก์ให้ผู้เช่ายืมจึงเป็นส่วนสำคัญของการให้เช่าสถานีบริการน้ำมัน เมื่อการให้เช่าดำเนินการสถานีบริการน้ำมันเป็นการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีซื้อ “บริภัณฑ์” จึงเป็นภาษีซื้อที่เกี่ยวข้องกับกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งต้องห้ามมิให้นำมาหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เช่าที่ดินและอาคารจากผู้อื่นแล้วให้เช่าช่วงแก่ผู้ประกอบการที่ได้รับการคัดเลือกจากโจทก์ โดยทำเป็นสัญญาเช่าดำเนินกิจการสถานีบริการและยืมบริภัณฑ์ โดยผู้ประกอบการต้องซื้อน้ำมันจากโจทก์เท่านั้น วัตถุประสงค์หลักของสัญญาจึงเป็นการจำหน่ายน้ำมันภาษีซื้อของ “บริภัณฑ์” จึงเป็นภาษีซื้อที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการจำหน่ายน้ำมันซึ่งต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและใช้เครดิตภาษีหรือขอคืนได้ตามมาตรา 77/1(18) และ 82/3 ขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินจำเลย และให้จำเลยคืนเงินจำนวน 3,834,317.85 บาท ที่จำเลยใช้สิทธิเรียกร้องต่อธนาคารเอบีเอ็น แอมโร เอ็น วี สาขากรุงเทพมหานครแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราเท่าที่ธนาคารคิดจากโจทก์ตั้งแต่วันที่จำเลยรับเงินไปจากธนาคารจนถึงวันที่จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์แล้วเสร็จ

จำเลยให้การว่า โจทก์ให้ผู้ประกอบการเช่าสถานีบริการน้ำมันในอัตราค่าเช่าต่ำและให้ยืม “บริภัณฑ์” โดยไม่คิดมูลค่าเพื่อสร้างแรงจูงใจแก่ผู้ประกอบการให้เข้าร่วมประกอบกิจการกับโจทก์ หามีลักษณะสำคัญเป็นสัญญาซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิงดังโจทก์อ้างไม่ กรณีถือได้ว่าโจทก์นำ”บริภัณฑ์” ไปใช้ประกอบกับการให้เช่าสถานีบริการน้ำมัน ซึ่งเป็นกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีซื้อของ “บริภัณฑ์” ดังกล่าวจึงเป็นภาษีซื้อที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประกอบกิจการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงไม่เข้าลักษณะเป็นรายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและต้องห้ามไม่ให้นำมาหักในการคำนวณภาษีตามมาตรา 82/5(3)แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยคืนเงินส่วนนี้พร้อมดอกเบี้ย

ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “โจทก์นำ “บริภัณฑ์” ไปติดตั้งในที่ดินและอาคารที่เช่าเพื่อใช้เป็นสถานประกอบการสถานีบริการน้ำมันแสดงให้เห็นโดยชัดแจ้งว่าโจทก์มีเจตนาให้ “บริภัณฑ์” เป็นของใช้ประจำอยู่กับสถานประกอบการนั้นเพื่อประโยชน์แก่การใช้สอยในสถานประกอบการเพื่อประกอบกิจการสถานีบริการน้ำมัน ข้อความในสัญญาเช่าดำเนินกิจการสถานีบริการและยืมบริภัณฑ์ตามเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 110 ถึง 124ข้อ 1 ที่ว่า “บริษัทตกลงให้ผู้ดำเนินการเช่าดำเนินการสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงของโจทก์ พร้อมทั้งให้ยืมบริภัณฑ์ อนึ่ง เป็นที่เข้าใจกันดีทั้งสองฝ่ายว่าบริภัณฑ์ดังกล่าวข้างต้นเป็นการให้ยืมแก่ผู้ดำเนินการเพื่อประโยชน์ในการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมซึ่งซื้อโดยตรงและโดยเฉพาะจากบริษัทเท่านั้น” กับข้อ 2 ที่ว่า “บริภัณฑ์ตามที่ระบุไว้ในข้อ 1. จะเป็นการให้ยืมโดยไม่คิดมูลค่า ส่วนค่าตอบแทนในการใช้สถานีบริการให้คิดในอัตราดังกล่าวต่อไปนี้” แสดงให้เห็นว่าตามสัญญาดังกล่าวเป็นเรื่องโจทก์ให้เช่าสถานีบริการน้ำมันตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ ส่วนบริภัณฑ์นั้นโจทก์ให้ผู้เช่ายืมใช้เพื่อประโยชน์ในการจำหน่ายน้ำมันของผู้เช่า โดยมีเงื่อนไขว่าผู้เช่าต้องซื้อผลิตภัณฑ์จากโจทก์โดยตรงเท่านั้น ดังนั้น ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า”บริภัณฑ์” ที่โจทก์ให้ผู้เช่ายืมเป็นส่วนสำคัญของการให้เช่าสถานีบริการน้ำมันเมื่อการให้เช่าดำเนินการสถานีบริการน้ำมันเป็นการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ซึ่งได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามประมวลรัษฎากร มาตรา 81(1)(ต)ภาษีซื้อ “บริภัณฑ์” จึงเป็นภาษีซื้อที่เกี่ยวข้องกับกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มและมีผลทำให้เป็นภาษีซื้อที่ห้ามมิให้นำมาหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามประมวลรัษฎากร มาตรา 82/5(6) ประกอบประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42) เรื่องการกำหนดภาษีซื้อที่ไม่ให้นำไปหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/5(6)แห่งประมวลรัษฎากร ข้อ 2(3) ที่ศาลภาษีอากรกลางไม่ให้นำภาษีซื้อดังกล่าวไปหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มถูกต้องแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share