คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 55/2490

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยรับว่า’ได้รับหนังสือบอกกล่าวล่วงหน้า 1 เดือนจริงตามฟ้องโจทก์’ดังนี้ เป็นการรับโดยชัดแจ้งว่า คำบอกเลิกนั้นมีผลใช้ได้ด้วย
ข้อกฎหมายที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแต่ในศาลชั้นต้นนั้นศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยให้
ผู้เช่าที่อยู่ในที่เช่าภายหลังสัญญาเช่าระงับลงโดยผู้ให้เช่าบอกเลิกนั้นได้ชื่อว่า เป็นผู้ละเมิด หาใช่ผู้เช่าที่จะได้รับความคุ้มครอง จากพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยไม่ชำระค่าเช่าตึกแถวให้โจทก์ โจทก์ได้ให้ทนายความมีหนังสือแจ้งล่วงหน้าบอกเลิกสัญญาเช่า ให้จำเลยออกจากที่เช่าภายใน 1 เดือน จำเลยได้รับหนังสือสองฉบับแล้วก็เพิกเฉยเสียจึงขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายและค่าเช่าที่ค้าง และขอให้ขับไล่จำเลย

จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยได้นำเงินค่าเช่าไปชำระให้โจทก์แต่โจทก์ไม่ยอมรับ โจทก์ไม่เคยส่งคำเตือนให้จำเลยทราบก่อนฟ้องแต่จำเลยแถลงรับในรายงานพิจารณาของศาลว่า “ได้รับหนังสือบอกกล่าวล่วงหน้า 1 เดือนจริงตามฟ้องโจทก์”

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ขับไล่จำเลย

จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อที่จำเลยรับตามรายงานพิจารณาจำเลยเถียงว่า มิได้รับว่าคำบอกกล่าวเลิกสัญญามีผลใช้ได้ เพราะไม่ปรากฏว่า โจทก์ได้มอบหมายให้อำนาจทนายบอกเลิกนั้น ฟังไม่ได้เพราะปรากฏชัดในใบแถลงรับของจำเลยแล้วว่าจำเลยได้รับคำบอกกล่าวจริงดังฟ้องโจทก์และจำเลยไม่เคยยกประเด็นเรื่องการมอบอำนาจใช้ไม่ได้นี้ขึ้นโต้เถียงในศาลชั้นต้น จะยกมาเป็นข้อฎีกาไม่ชอบ ส่วนข้อที่จำเลยอ้างว่า จำเลยควรได้รับความคุ้มครองจาก พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่านั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อสัญญาเช่าได้ระงับลงแล้วจำเลยมีหน้าที่ต้องส่งคืนทรัพย์ที่เช่าตามคำเรียกร้องของผู้ให้เช่าการที่จำเลยยังขัดขืนอยู่ จึงเป็นการยึดครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยปราศจากอำนาจอันชอบด้วยกฎหมาย จำเลยได้ชื่อว่าเป็นผู้ละเมิดในทรัพย์ของผู้อื่นอยู่ก่อนวันใช้พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าแล้วจึงอ้างความคุ้มครองจากพระราชบัญญัตินั้นไม่ได้ พิพากษายืนตาม

Share