คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 546/2501

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าที่พิพาท ผู้ร้องกับจำเลยและนางยะถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน โจทก์ก็มีสิทธินำยึดส่วนของจำเลยได้ที่ผู้ร้องอ้างว่าหนี้ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นหนี้ที่สมยอมกันนั้นจะจริงหรือไม่ก็เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับจำเลย ซึ่งผู้ร้องไม่มีส่วนได้เสียด้วย จึงไม่มีสิทธิจะยกขึ้นคัดค้านได้

ย่อยาว

คดีนี้เนื่องจากโจทก์นำยึดที่ดินเนื้อที่ ๒๖ ไร่เศษในโฉนดเลขที่ ๖๘๑๕ ตำบลสิงหนาท อำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เฉพาะส่วนของจำเลย เพื่อใช้หนี้โจทก์ตามคำพิพากษา นางแพร้องคัดค้านว่าโจทก์นำยึดเกินไป ๑๑ ไร่เศษ ราคา ๓,๐๐๐ บาท ทั้งหนี้สินระหว่างโจทก์กับจำเลยก็สมยอมกันเพราะความจริงจำเลยหาได้เป็นหนี้โจทก์ไม่ ขอให้ถอนการยึด
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ววินิจฉัยว่า ผู้ร้องนำสืบไม่ได้ ว่าหนี้สินระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นการสมยอมกัน นายจิได้ยกที่ดินโฉนดนี้ให้แก่ผู้ร้อง แก่นางยะและจำเลยโดยมิได้แบ่งเป็นส่วน คงให้ร่วมกัน ต้องฟังว่าผู้ร้อง นางยะและจำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกัน ทั้งการครอบครองก็ร่วมกัน ไม่ได้ครอบครองเป็นส่วนสัด โจทก์มีสิทธินำยึดที่ดินอันเป็นส่วนของจำเลยได้ พิพากษายกคำร้องขัดทรัพย์ของนางแพผู้ร้อง และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
นางแพผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นรับเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่าผู้ร้องจะยกข้ออ้างว่า หนี้สินระหว่างโจทก์จำเลยเป็นหนี้สุจริตหรือไม่สุจริตได้หรือไม่ เห็นว่าการเป็นหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยจะมีกันจริงหรือไม่ก็เป็นเรื่องระหว่างเขาทั้งสอง ซึ่งผู้ร้องไม่มีส่วนได้เสียด้วย ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิจะยกขึ้นคัดค้านได้ ส่วนที่ผู้ร้องคัดค้านว่า ผู้ร้องนำสืบได้ว่านางจิยกที่ดินให้แก่นางยะกับจำเลยแล้วต่างแยกการครอบครองเป็นส่วนสดนั้น เป็นการคัดค้านข้อเท็จจริงต้องห้ามไม่รับวินิจฉัย เนื้อที่ดินโฉนดที่ ๖๘๑๕ มีชื่อผู้ร้อง นางยะและจำเลยถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันโดยมิได้ระบุว่าส่วนของใคร เท่าใด ต้องถือว่าต่งเป็นเจ้าของคนละส่วนเท่า ๆ กัน โจทก์มีสิทธินำยึดส่วนของจำเลยได้ พิพากษายืน

Share