คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5445/2546

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลโดยตกลงว่าให้ค่าธรรมเนียมในส่วนที่ศาลไม่สั่งคืนเป็นพับ ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมโดยพิพากษาให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ เช่นนี้ ตามความหมายในสัญญาประนีประนอมยอมความหมายความว่าให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับเฉพาะส่วนที่ศาลสั่งไม่คืนให้ มิใช่หมายความว่าค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับทั้งหมดโดยไม่มีค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องคืนให้แก่โจทก์เลย อันเป็นการทำให้สัญญาประนีประนอมยอมความไร้ผล และขัดแย้งต่อเจตนาของคู่ความที่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ต่อมาเมื่อคดีถึงที่สุดแล้วโจทก์มาขอค่าฤชาธรรมเนียมคืน แต่ศาลไม่สั่งคืนให้ เช่นนี้ เป็นการที่โจทก์มิได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น หากแต่เป็นอุทธรณ์คำสั่งที่ศาลไม่คืนค่าธรรมเนียมศาลให้ โจทก์จึงมีสิทธิอุทธรณ์ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากตึกแถวที่เช่า และชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ครอบครองตึกแถวด้วยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า ๑๐ ปี จนได้กรรมสิทธิ์แล้ว ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นกำหนดราคาตึกแถวเป็นเงิน ๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท และโจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นต้นพร้อมกับคำฟ้องเป็นเงิน ๑,๖๐๐ บาท และเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มตามคำสั่งศาลอีก ๑๐๐,๐๐๐ บาท ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยที่ ๒ ตกลงกันทำสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๔๐ ส่วนคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ คงพิจารณาต่อไป
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๔๐ ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๒ ให้เป็นพับ คดีถึงที่สุดแล้ว
โจทก์ยื่นคำแถลงขอให้ศาลคืนค่าธรรมเนียมส่วนที่ได้วางเพิ่มเติมจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ตามคำพิพากษาระบุให้ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ เป็นพับ จึงสั่งคืนไม่ได้ ให้ยกคำแถลง
ต่อมาศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีให้จำเลยที่ ๒ ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ กับให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียม ๑๐๐,๔๓๐ บาท แทนโจทก์ และผู้แทนโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ยื่นคำร้องคัดค้านการยึดทรัพย์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนหมายบังคับคดีเฉพาะส่วนค่าฤชาธรรมเนียมเพราะเป็นการออกหมายโดยผิดหลง และให้เพิกถอนการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ ๒
โจทก์ยื่นคำแถลงว่า เมื่อศาลมีคำสั่งเพิกถอนการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ ๒ แล้ว ก็ขอให้ศาลมีคำสั่งคืนค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนที่ได้มีการเพิกถอนการยึดทรัพย์เป็นเงิน ๑๐๐,๔๓๐ บาท แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลมีคำพิพากษาโดยให้บังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความกับให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ แต่มีการออกหมายบังคับคดีผิดพลาดศาลจึงต้องสั่งเพิกถอน โจทก์ไม่มีสิทธิขอคืน ให้ยกคำแถลง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ ต้องเป็นไปตามข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่ในส่วนค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๒ ให้เป็นพับนั้น มีความหมายสอดคล้องกับสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวในส่วนที่ว่า ค่าธรรมเนียมในส่วนที่ศาลไม่สั่งคืนและค่าทนายความให้เป็นพับนั่นเองคือ ค่าธรรมเนียมให้เป็นพับเฉพาะในส่วนที่ศาลไม่สั่งคืน มิใช่แปลความหมายว่าค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับทั้งหมด โดยไม่มีค่าธรรมเนียมที่ต้องคืนให้แก่โจทก์เลย อันจะทำให้สัญญาประนีประนอมยอมความไร้ผลบังคับ ทั้งเป็นการขัดแย้งต่อเจตนารมณ์ของโจทก์ที่ยอมตกลงกับจำเลยที่ ๒ โดยแจ้งชัด เมื่อต่อมาวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๔๑ โจทก์ยื่นคำแถลงขอคืนค่าธรรมเนียมศาลเป็นกรณีพิเศษและศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่คืนค่าธรรมเนียมให้แก่โจทก์อ้างว่าตามคำพิพากษาให้ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๒ เป็นพับ และในวันเดียวกันนั้นเอง เมื่อโจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีแก่จำเลยที่ ๒ ศาลชั้นต้นได้ออกหมายบังคับคดีให้จำเลยที่ ๒ ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความกับให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลไม่สั่งคืน ๑๐๐,๔๓๐ บาท แทนโจทก์ และต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ ๒ เพื่อจะขายทอดตลาดนำเงินที่ได้มาชำระเป็นค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลไม่สั่งคืนดังกล่าวให้แก่โจทก์ ลักษณะดังกล่าวมาแล้วนี้ย่อมเป็นที่เข้าใจของโจทก์ว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้คืนค่าธรรมเนียมให้แก่โจทก์แล้วโดยผลักเป็นภาระหน้าที่ที่จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดคืนเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวให้แก่โจทก์เป็นไปดังข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการยึดทรัพย์และคืนทรัพย์แก่จำเลยที่ ๒ แล้ว โจทก์จึงยื่นคำแถลงลงวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๓ ขอคืนค่าธรรมเนียมศาลเป็นกรณีพิเศษ ศาลชั้นต้นก็ไม่สั่งคืนให้อ้างว่าศาลพิพากษาว่าค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๒ เป็นพับเช่นเดิม โจทก์จึงอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว กรณีนี้ด้วยเหตุผลดังวินิจฉัยมาแล้วข้างต้น จึงเห็นว่าโจทก์มีสิทธิได้ค่าธรรมเนียมศาลคืนจากศาลชั้นต้นตามข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความลงวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๔๐ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว โจทก์ไม่เห็นด้วย โจทก์ชอบที่จะยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ การที่โจทก์ไม่ใช้สิทธิอุทธรณ์จนคดีถึงที่สุดไปแล้ว ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจที่จะแก้ไขได้นั้น เห็นว่า กรณีนี้โจทก์มิได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น หากแต่โจทก์ใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งเป็นที่แน่ชัดว่าไม่คืนค่าธรรมเนียมศาลให้แก่โจทก์ตามคำแถลงของโจทก์ลงวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๓ โจทก์จึงมีสิทธิอุทธรณ์ค่าธรรมเนียมศาลที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่คืนให้แก่โจทก์เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๓ ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษาไม่คืนค่าธรรมเนียมศาลให้แก่โจทก์เลยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลให้แก่โจทก์ตามที่เห็นสมควรต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลเห็นควรให้เป็นพับ.

Share