คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5442/2551

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์หลายครั้งรวมเป็นเงิน 50,000 บาท ต่อมาจึงได้ทำหลักฐานการกู้ยืมเงินมอบให้โจทก์ไว้ หลักฐานการกู้ยืมเงินดังกล่าวไม่ปรากฏข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ย การที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยตกลงให้ดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ทุกเดือนจึงเป็นการนำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมข้อความในเอกสารต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 ฟังไม่ได้ว่าจำเลยตกลงให้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ โจทก์เรียกดอกเบี้ยจากจำเลยนับแต่วันทำสัญญาไม่ได้ อย่างไรก็ตามการกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยตามหลักฐานการกู้ยืมเงินดังกล่าวมิได้กำหนดเวลาชำระต้นเงินคืนไว้ การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องและจำเลยไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ต้องถือว่าจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้ครบถ้วน
กรณีข้อตกลงที่ขัดต่อข้อความตาม ป.พ.พ. มาตรา 656 วรรคสอง และตกเป็นโมฆะตามวรรคสามนั้นต้องเป็นเรื่องที่ผู้ให้กู้ยอมรับของอื่นแทนการชำระหนี้ด้วยเงินตรา แต่ข้อตกลงตามหลักฐานการกู้ยืมเงินเป็นเรื่องที่จำเลยตกลงให้บุตรจำเลยนำเงินมาชำระให้แก่โจทก์ จึงหาใช่ข้อตกลงที่ขัดต่อมาตรา 656 วรรคสองไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 68,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 50,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 18 ธันวาคม 2546) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์หลายครั้งรวมเป็นเงิน 50,000 บาท ต่อมาจึงได้ทำหลักฐานการกู้ยืมเงินมอบให้โจทก์ไว้ หลักฐานการกู้ยืมเงินดังกล่าวไม่ปรากฏข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ย การที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยตกลงให้ดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ทุกเดือน จึงเป็นการนำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมข้อความในเอกสารต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ฟังไม่ได้ว่าจำเลยตกลงให้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ โจทก์เรียกดอกเบี้ยจากจำเลยนับแต่วันทำสัญญาไม่ได้อย่างไรก็ตามการกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยตามหลักฐานการกู้ยืมเงินดังกล่าวมิได้กำหนดเวลาชำระต้นเงินคืนไว้ การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องและจำเลยไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ต้องถือว่าจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันฟ้อง โจทก์ชอบที่จะเรียกดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ได้นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้ครบถ้วน ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ได้รับเงินจากโจทก์และทำหลักฐานการกู้ยืมเงิน เพื่อความสบายใจของโจทก์ ไม่มีเจตนาผูกพันกันเป็นการแสดงเจตนาลวงและเป็นนิติกรรมอำพรางตกเป็นโมฆะฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า หลักฐานการกู้ยืมเงิน มีข้อตกลงว่า “ถ้าจำเลยเป็นอะไรไปในวันข้างหน้า ขอให้บุตรของจำเลยหักเงินสงเคราะห์ชีวิต แบบร่มไทร ของธนาคารออมสิน จ่ายให้แก่โจทก์ด้วย” อันเป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 656 วรรคสองและวรรคสาม การกู้ยืมเงินตามหลักฐานการกู้ยืมเงินดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะนั้น เห็นว่า กรณีข้อตกลงที่ขัดต่อข้อความตาม มาตรา 656 วรรคสองและตกเป็นโมฆะตามวรรคสามนั้นเป็นเรื่องที่ผู้ให้กู้ยอมรับของอื่นแทนการชำระหนี้ด้วยเงินตรา แต่ข้อตกลงตามหลักฐานการกู้ยืมเงินเป็นเรื่องที่จำเลยตกลงให้บุตรจำเลยนำเงินมาชำระให้แก่โจทก์จึงหาใช่ข้อตกลงที่ขัดต่อมาตรา 656 วรรคสองไม่ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นั้น ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน โจทก์ไม่แก้ฎีกาจึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้

Share