แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบงานบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบแบบแผนของทางราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัดจึงเป็นผู้กระทำการแทนโจทก์โดยผลของกฎหมาย เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดพังงาโดย ว. ซึ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดพังงาในขณะยื่นฟ้องคดีนี้ได้ลงลายมือชื่อ แต่งให้ ส. อัยการผู้เชี่ยวชาญคดีแพ่ง เขต 8 เป็นทนายความยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองแล้ว ย่อมถือว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องแล้ว
โจทก์ตระหนักดีอยู่แล้วว่าจำเลยทั้งสองไม่สามารถที่จะทำงานได้แล้วเสร็จตามสัญญาได้อย่างแน่นอนตั้งแต่ก่อนถึงเวลาครบกำหนดการทำงานตามสัญญาว่าจ้าง การทอดเวลาบอกเลิกสัญญาเป็นเวลาถึง 277 วัน ต้องนับว่าโจทก์ไม่พยายามบรรเทาความเสียหายลงไปบ้าง ถือว่าโจทก์มีส่วนผิดไม่บอกเลิกสัญญาในเวลาอันสมควรทำให้จำนวนเบี้ยปรับสูงขึ้นเพราะเหตุที่โจทก์บอกเลิกสัญญาล่าช้าด้วย ที่โจทก์คิดค่าปรับวันละ 2,607 บาท เป็นเวลา 277 วัน เป็นเงิน 722,139 บาท จึงเป็นเบี้ยปรับที่สูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทกฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์ 712,178.49 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 591,789 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ 712,178.49 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 591,789 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 10,000 บาท
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 โดยเป็นราชการบริหารส่วนภูมิภาคบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้รับนโยบายและคำสั่งจากนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม มาปฏิบัติการให้เหมาะสมกับท้องที่และประชาชน ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบงานบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบแบบแผนของทางราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัดจึงเป็นผู้กระทำการแทนโจทก์โดยผลของกฎหมาย เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดพังงาโดยนายวรสิทธิ์ ซึ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดพังงาในขณะยื่นฟ้องคดีได้ลงลายมือชื่อแต่งให้นายสมศักดิ์ อัยการผู้เชี่ยวชาญคดีแพ่ง เขต 8 เป็นทนายความยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองแล้ว ย่อมถือได้ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องแล้ว หาจำต้องแสดงสิทธิและหน้าที่ตลอดจนวัตถุประสงค์ของโจทก์ว่ามีอำนาจและขอบเขตการใช้อำนาจอย่างไร หรือต้องแสดงเอกสารสำคัญของอำนาจหน้าที่และวัตถุประสงค์ของโจทก์ดังกล่าวแต่อย่างใดไม่ ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองต้องรับผิดชดใช้เบี้ยปรับให้แก่โจทก์เพียงใด ข้อเท็จจริงได้ความว่า ตามสัญญาว่าจ้างกำหนดให้จำเลยทั้งสองเริ่มทำงานตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2541 และจะต้องทำงานให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2542 แต่ปรากฏว่าโจทก์มีหนังสือเร่งรัดตามสำเนาหนังสือ ลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2541 และลงวันที่ 12 มกราคม 2542 ให้จำเลยทั้งสองเข้าทำงานตามสัญญา โดยระบุในหนังสือว่า จำเลยทั้งสองยังไม่ได้เข้าดำเนินการตามข้อกำหนดในสัญญาแต่ประการใด แสดงว่าเวลาผ่านไปเกือบครบกำหนดตามสัญญาว่าจ้างแล้ว จำเลยทั้งสองยังไม่ได้ลงมือทำงานให้แก่โจทก์และโจทก์ทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี โจทก์จึงมีหนังสือแจ้งขอปรับจำเลยทั้งสองตามสัญญาว่าจ้างตามสำเนาหนังสือลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2542 แม้ในเวลาต่อมาโจทก์จะมีหนังสือเร่งรัดให้จำเลยทั้งสองกลับเข้าทำงานอีก ตามสำเนาหนังสือลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2542 และสำเนาหนังสือลงวันที่ 5 เมษายน 2542 อันเป็นการให้โอกาสจำเลยทั้งสองอีกครั้ง แต่ก็ปรากฏว่ามีผลงานเพียงร้อยละ 1.5 เท่านั้น ซึ่งนับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับเวลาที่ล่วงเลยมานานเช่นนี้ นอกจากนั้นข้อเท็จจริงยังได้ความว่า โจทก์เรียกให้จำเลยทั้งสองทำบันทึกข้อตกลงยินยอมเสียค่าปรับเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2542 ซึ่งตามบันทึกดังกล่าวไม่ปรากฏข้อความว่าจำเลยทั้งสองตกลงที่จะเร่งรัดการทำงานให้แล้วเสร็จตามที่นายเมธาเบิกความถึงแต่อย่างใด จากข้อเท็จจริงทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นเห็นได้ว่าโจทก์ย่อมตระหนักดีอยู่แล้วว่าจำเลยทั้งสองไม่สามารถที่จะทำงานได้แล้วเสร็จตามสัญญาได้อย่างแน่นอนตั้งแต่ก่อนถึงเวลาครบกำหนดการทำงานตามสัญญาว่าจ้างเสียอีก การทอดเวลาบอกเลิกสัญญาเป็นเวลาถึง 277 วัน ต้องนับว่าโจทก์ไม่พยายามบรรเทาความเสียหายลงไปบ้าง ถือได้ว่าโจทก์มีส่วนผิดไม่บอกเลิกสัญญาในเวลาอันสมควร ทำให้จำนวนเบี้ยปรับสูงขึ้นเพราะเหตุที่โจทก์ขอเลิกสัญญาล่าช้าด้วย เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์เสียหายเพียงใด เป็นต้นว่า โจทก์ต้องทำสัญญาว่าจ้างผู้รับจ้างรายใหม่ในอัตราที่สูงขึ้นหรือไม่ หรือการไม่ดำเนินการขุดลอกหนองน้ำป้าพิณทำให้เกิดความเดือนร้อนต่อสาธารณชนอย่างไรบ้าง เช่นนี้ ที่โจทก์คิดค่าปรับวันละ 2,607 บาท เป็นเวลา 277 วัน เป็นเงิน 722,139 บาท จึงเป็นเบี้ยปรับที่สูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาไม่ลดค่าปรับให้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย สมควรให้จำเลยทั้งสองชำระค่าปรับแก่โจทก์ตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และฎีกาแทนจำเลยทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความรวม 10,000 บาท