คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5364/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์ไว้สองวันคือวันที่ 6 และ 20 กันยายน 2528 ดังนั้น ในสมุดนัดความของทนายจำเลยจึงควรจะมีการลงนัดความคดีนี้ไว้ด้วยทั้งสองวันตั้งแต่ในวันชี้สองสถานแล้ว และเมื่อถึงกำหนดนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 6 กันยายน 2528 เมื่อมีการเลื่อนการสืบพยานไปวันที่ 20 กันยายน 2528 และวันที่ 16 ตุลาคม 2528 หากทนายจำเลยเข้าใจว่ามีการยกเลิกการนัดสืบพยานในวันที่ 20 กันยายน 2528 ตามที่อ้างจริงก็น่าจะต้องมีหมายเหตุการยกเลิกไว้ในสมุดนัดความนี้ แต่ปรากฏว่าในภาพถ่ายสมุดนัดความของทนายจำเลยไม่มีการลงนัดความคดีนี้ไว้ในวันดังกล่าวเลย คงลงนัดคดีของศาลอื่นไว้เท่านั้น ที่ทนายจำเลยอ้างว่าที่ขาดนัดพิจารณาเพราะเข้าใจว่ายกเลิกวันนัดแล้วจึงขัดต่อเหตุผลไม่น่าเชื่อ เหตุที่จำเลยทั้งสองยกขึ้นกล่าวอ้างยังไม่เพียงพอฟังว่าไม่ได้จงใจขาดนัดพิจารณา
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้หมายเรียก ว.เข้ามาเป็นจำเลยร่วม หลังจากจำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณาและมีการสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้วจึงไม่มีเหตุสมควรจะให้เรียก ว.เข้ามาเป็นจำเลยร่วม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญเนื้อที่ประมาณ ๒ ไร่ อยู่ตำบลเขาพระงาม อำเภอเมืองลพบุรี ต่อมาวันที่ ๘ พฤษภาคม๒๕๒๘ จำเลยทั้งสองได้บุกรุกเข้าไปไถดินปลูกข้าวโพดในที่ดินดังกล่าว และวันที่๑๙ พฤษภาคม ๒๕๒๘ จำเลยทั้งสองได้บุกรุกปักเสารั้วและปลูกต้นมะพร้าวในที่ดินดังกล่าวอีก โจทก์ห้ามปรามแล้วจำเลยทั้งสองไม่เชื่อฟังอ้างว่าได้ซื้อที่ดินมาจากผู้อื่น ทำให้โจทก์เสียหายขาดประโยชน์จากการใช้ที่ดินปลูกข้าวและข้าวโพดคิดเป็นเงินปีละ ๕,๐๐๐ บาท ขอให้พิพากษาว่าที่ดินตามฟ้องโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปและห้ามเกี่ยวข้องอีก ให้รื้อถอนเสารั้วและต้นมะพร้าวออกไปภายใน ๗ วัน นับแต่วันมีคำพิพากษา กับให้ชดใช้ค่าเสียหายปีละ ๕,๐๐๐ บาท นับแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๘ เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะออกจากที่พิพาท
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินตามฟ้องเดิมเป็นของนางวาสนาฆโนทัย ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๖ นางวาสนาได้ขายให้จำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองได้เข้าครอบครองทำประโยชน์อย่างเป็นเจ้าของตลอดมาเกิน ๑ ปีแล้ว จึงได้สิทธิครอบครองตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นชี้สองสถาน กำหนดให้สืบพยานโจทก์ก่อนโดยนัดสืบวันที่ ๖ และ ๒๐ กันยายน ๒๕๒๘
ในวันนัดวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๒๘ จำเลยแถลงขอเลื่อนคดีอ้างว่าจะเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมอีก โจทก์ไม่ค้าน ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนการสืบพยานโจทก์ไปวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๒๘ และวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๒๘
ในวันนัดสืบพยานวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๒๘ จำเลยทั้งสองไม่มาศาล ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณาทำการสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว วันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๒๘ จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวอ้างว่ามิได้จงใจขาดนัดพิจารณา เนื่องจากทนายจำเลยเข้าใจว่าศาลมีคำสั่งยกเลิกวันนัดสืบพยานวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๒๘ ไปแล้ว จึงลงชื่อในรายงานกระบวนพิจารณาวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๒๘ โดยสำคัญผิดและประมาทเลินเล่อที่ไม่ฟังรายงานกระบวนพิจารณาของศาลโดยรอบคอบ ทั้งในวันนัดสืบพยานดังกล่าวทนายจำเลยก็ติดว่าความที่ศาลอื่น ศาลชั้นต้นสั่งว่า ข้ออ้างของจำเลยทั้งสองล้วนเป็นความบกพร่องของฝ่ายจำเลยเอง ไม่มีเหตุสมควรให้พิจารณาคดีใหม่ และถือว่าจำเลยไม่จงใจขาดนัดหาได้ไม่ ให้ยกคำร้อง จำเลยทั้งสองแถลงคัดค้านคำสั่งนี้
วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๒๘ จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้เรียกนางวาสนา ฆโนทัย เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง เพราะจำเลยทั้งสองมิได้ยื่นคำร้องนี้เข้ามาพร้อมกับคำให้การทั้งที่รู้อยู่แล้วและไม่มีเหตุที่ไม่อาจยื่นคำให้การได้ เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๕๗ (๓) ต่อมาวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๒๘ จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้เรียกนางวาสนา ฆโนทัย เข้ามาเป็นจำเลยร่วมอีกโดยอ้างเหตุที่มิได้ขอให้เรียกมาพร้อมคำให้การด้วย ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง จำเลยทั้งสองได้คัดค้านคำสั่งไว้
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ให้ขับไล่จำเลยและบริวารและรื้อถอนเสาปูนกับต้นมะพร้าวออกจากที่ดินพิพาท ห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ ๒,๕๐๐บาท นับแต่ฤดูปลูกข้าว ข้าวโพดปี พ.ศ.๒๕๒๘ เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะออกจากที่ดินพิพาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้มีการพิจารณาใหม่โดยอ้างว่ามิได้จงใจขาดนัดพิจารณา แต่เป็นเพราะทนายจำเลยเข้าใจว่าวันนัดสืบพยานโจทก์วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๒๘ ได้ยกเลิกไปแล้วทนายจำเลยจึงนัดว่าความที่ศาลอื่นในวันดังกล่าว โดยอ้างภาพถ่ายสมุดนัดความของทนายจำเลยเป็นพยานนั้น เห็นว่า ในวันชี้สองสถานศาลชั้นต้นกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์ไว้สองวันคือวันที่ ๖ และ ๒๐ กันยายน ๒๕๒๘ ดังนั้น ในสมุดนัดความของทนายจำเลยจึงควรจะมีการลงนัดความคดีนี้ไว้ด้วยทั้งสองวันตั้งแต่ในวันชี้สองสถานแล้วและเมื่อถึงกำหนดนัดสืบพยานโจทก์วันที่ ๖ กันยายน ๒๕๒๘ เมื่อมีการเลื่อนการสืบพยานไปวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๒๘ และวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๒๘ หากทนาย-จำเลยเข้าใจว่ามีการยกเลิกการนัดสืบพยานในวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๒๘ ตามที่อ้างจริงก็น่าจะต้องมีหมายเหตุการยกเลิกไว้ในสมุดนัดความนี้ แต่ปรากฏว่าในภาพถ่ายสมุดนัดความของทนายจำเลยไม่มีการลงนัดความคดีนี้ไว้ในวันดังกล่าวเลยคงลงนัดคดีของศาลอื่นไว้เท่านั้น ที่ทนายจำเลยอ้างว่าที่ขาดนัดพิจารณาเพราะเข้าใจว่ายกเลิกวันนัดแล้วจึงขัดต่อเหตุผลไม่น่าเชื่อ เหตุที่จำเลยทั้งสองยกขึ้นกล่าวอ้างยังไม่เพียงพอฟังว่าไม่ได้จงใจขาดนัดพิจารณา และที่จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้หมายเรียกนางวาสนาเข้ามาเป็นจำเลยร่วมนั้น เห็นว่า จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องดังกล่าวหลังจากจำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณา และมีการสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้ว จึงไม่มีเหตุสมควรจะให้เรียกนางวาสนาเข้ามาเป็นจำเลยร่วม
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ซื้อที่พิพาทจากนางวาสนาและเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทดังที่จำเลย-ทั้งสองให้การและนำสืบ โจทก์มิใช่ผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง.

Share