คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5349/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สำหรับความผิดฐานเดินทางออกนอกราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง และฐานเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองตาม พ.ร.บ. คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 11 ประกอบด้วยมาตรา 62 วรรคสอง ซึ่งมีระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท และศาลชั้นต้นลงโทษปรับจำเลยในความผิดดังกล่าวกระทงละ 1,000 บาท นั้น เป็นความผิดที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ ที่จำเลยอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นขอให้ยกฟ้องโจทก์ โดยโต้เถียงดุลพินิจของศาลชั้นต้นในการชั่งน้ำหนักรับฟังพยาน หลักฐานในสำนวนว่า จำเลยไม่ใช่คนร้ายรายนี้ เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งมีความผิดสองฐานนี้รวมอยู่ด้วย ในตัว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทุกฐานความผิดตามฟ้อง โดยฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายกระทำความผิดตามฟ้องและพิพากษายืนมา เท่ากับศาลอุทธรณ์ภาค 4 รับวินิจฉัยความผิดสองฐานนี้รวมกันมาด้วย จึงเป็นการไม่ชอบ ที่จำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ขอให้ยกฟ้องโจทก์โดยโต้เถียงดุลพินิจของ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ในการชั่งน้ำหนักรับฟังพยานหลักฐานในสำนวนข้อที่ว่าจำเลยไม่ใช่คนร้ายรายนี้ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งมีความผิดสองฐานนี้รวมอยู่ด้วยในตัวเช่นเดียวกับอุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับความผิด สองฐานนี้ จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ภาค 4 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
จำเลยนำเมทแอมเฟตามีนของกลางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และการกระทำของจำเลย ดังกล่าว ย่อมฟังได้ต่อไปว่าจำเลยได้มีเมทแอมเฟตามีนของกลางจำนวนเดียวกันนั้นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย เมื่อเมทแอมเฟตามีนของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้เกินกว่า 20 กรัม จึงต้องถือว่าเป็นการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามที่ พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง บัญญัติไว้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย อีกบทหนึ่ง เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานนำเมทแอมเฟตามีนของกลางเข้ามา ในราชอาณาจักร ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวตาม ป.อ. มาตรา 90
ความผิดซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ได้ยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษายืนโดย มิชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง โดยพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 และยกอุทธรณ์ของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดฐานดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๗, ๑๕, ๖๕, ๖๖, ๑๐๒ พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๑, ๖๒ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓, ๙๑ ริบเมทแอมเฟตามีนและตะกร้าของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๕ วรรคสอง, ๖๕ วรรคหนึ่ง, ๖๖ วรรคหนึ่ง, ๑๐๒ พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๑, ๖๒ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักร (ที่ถูกฐานนำเมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักร และฐานมี เมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานนำ เมทแอมเฟตามีนเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐) จำคุกตลอดชีวิต ฐานเดินทางไปนอกราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ปรับ ๑,๐๐๐ บาท ฐานเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ปรับ ๑,๐๐๐ บาท รวมเป็นจำคุกตลอดชีวิต และปรับ ๒,๐๐๐ บาท ไม่ชำระค่าปรับให้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙ และ ๓๐ ริบเมทแอมเฟตามีนและตะกร้าของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง มีคนร้ายลักลอบนำเมทแอมเฟตามีนจำนวน ๑,๓๘๒ เม็ด เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย แต่เจ้าพนักงานตำราจท้องที่สืบทราบถึงการกระทำของคนร้าย จึงเข้าตรวจค้นและจับกุม แต่ขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจกำลังตรวจค้นสิ่งของคนร้าย คนร้ายไหวทันและได้วิ่งหลบหนีข้ามแม่น้ำเหืองไปขึ้นฝั่งประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เจ้าพนักงานตำรวจคงยึดได้แต่เมทแอมเฟตามีนจำนวน ดังกล่าวพร้อมตะกร้าไม้ไผ่สาน ๑ ใบ ที่คนร้ายใช้บรรจุ เมทแอมเฟตามีนเป็นของกลาง พนักงานสอบสวนได้ส่งยาเม็ดของกลางทั้ง ๑,๓๘๒ เม็ดไปให้ผู้ชำนาญการพิเศษตรวจพิสูจน์แล้ว ปรากฏว่าเป็นเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท ๑ คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ ๒๔.๑๗๙ กรัม ต่อมาวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๔๑ เจ้าพนักงานตำรวจได้จับกุมจำเลยมาดำเนินคดี โดยอ้างว่าจำเลยเป็นคนร้ายดังกล่าว สำหรับความผิดฐานเดินทางนอกราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านด่านตรวจค้นเข้าเมือง และฐานเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๑ ประกอบด้วยมาตรา ๒๒ วรรคสอง ซึ่งมีระวางโทษปรับไม่เกิน ๒,๐๐๐ บาท และศาลชั้นต้นลงโทษปรับจำเลยในความผิดดังกล่าวกระทงละ ๑,๐๐๐ บาท นั้น เป็นความผิดที่ต้องห้ามิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๓ ทวิ ที่จำเลยอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นขอให้ยกฟ้องโจทก์โดยโต้เถียงดุลพินิจของศาลชั้นต้นในการชั่งน้ำหนักรับฟังพยานหลักฐานในสำนวนว่า จำเลยไม่ใช่คนร้ายรายนี้ เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งมีความผิดสองฐานนี้ รวมอยู่ด้วยในตัว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทุกฐานความผิดตามฟ้องโดยฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายกระทำความผิดตามฟ้องและพิพากษายืนมานั้นเท่ากันว่าศาลอุทธรณ์ภาค ๔ รับวินิจฉัยความผิดสองฐานนี้รวมมาด้วย จึงเป็นการไม่ชอบที่จำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๔ ขอให้ยกฟ้องโจทก์โดยโต้เถียงดุลพินิจของ ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ ในการชั่งน้ำหนักรับฟังพยานหลักฐานในสำนวนข้อที่ว่าจำเลยไม่ใช่คนร้ายรายนี้ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งมีความผิดสองฐานนี้รวมอยู่ด้วยในตัวเช่นเดียวกับอุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับความผิด สองฐานนี้จึงเป็นฎีกาไม่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะถือว่าเป็นข้อที่มิได้ ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค ๔ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
จำเลยมีความผิดฐานนำเมทแอมเฟตามีนของกลางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และการกระทำของจำเลยดังกล่าวย่อมฟังได้ว่า จำเลยได้มีเมทแอมเฟตามีนของกลางจำนวนเดียวกันนั้นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย เมื่อเมทแอมเฟตามีนของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้เกินกว่า ๒๐ กรัม จึงต้องถือว่าเป็นการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามที่พระราชบัญญัติยาเสพติให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๕ วรรคสอง บัญญัติไว้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย อีกบทหนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยฐานนำเมทแอมเฟตามีนของกลางเข้ามาในราชอาณาจักรและฐานมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทและให้ ลงโทษฐานนำเมทแอมเฟตามีนของกลางเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ นั้น จึงต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่งสำหรับความผิดฐานเดินทางออกนอกราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง และฐานเดินทาง เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ ได้ยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษายืนโดยมิชอบนั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องโดยพิพากษายกคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ ในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดสองฐานนี้เสีย
พิจารณาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๔ ในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดฐานเดินทางออกไป นอกราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง และฐานเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านด่านตรวจ คนเข้าเมือง กับยกอุทธรณ์ของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวนี้เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๔

Share