แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เคยฟ้องจำเลยในมูลหนี้เดียวกันนี้เป็นคดีล้มละลายต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนดอายุความ ศาลชั้นต้นสั่งรับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณา ต่อมาศาลชั้นต้นสั่งเพิกถอนคำสั่งเดิมและมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับฟ้องเนื่องจากจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจของศาลอื่นคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวมีความหมายเป็นอย่างเดียวกันกับคำว่าศาลยกคดีเสียเพราะเหตุคดีไม่อยู่ในอำนาจศาล ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 176 ดังนั้น เมื่อกำหนดอายุความในคดีของโจทก์สิ้นไปแล้วก่อนที่ศาลจะสั่งเพิกถอนคำสั่งรับฟ้องเป็นคำสั่งไม่รับฟ้องเพราะเหตุคดีไม่อยู่ในอำนาจศาล ประกอบกับเมื่อโจทก์สืบหาภูมิลำเนาของจำเลยแล้วปรากฏว่าจำเลยคงมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลชั้นต้นนั้นเอง และโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ใหม่ภายในกำหนดหกเดือนนับแต่ศาลมีคำสั่ง ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ.
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยฐานมีฝิ่นสุกจำนวน 8 ห่อ น้ำหนัก 0.45 กรัม ไว้ในครอบครองตามพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 5, 6, 7, 8,17, 69 จำคุก 6 เดือน และปรับ 3,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 3 เดือน และปรับ 1,500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 คุมประพฤติ 1 ปี โดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือนต่อครั้ง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ต่อมาพนักงานคุมประพฤติรายงานว่าจำเลยไม่ไปรายงานตัวตามกำหนด และจำเลยแถลงรับต่อศาลชั้นต้นว่าก่อนถูกจับกุมในคดีนี้จำเลยเคยถูกจับกุมเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษรวม 3 คดี ซึ่งแต่ละคดีศาลชั้นต้นรอการลงโทษและให้คุมความประพฤติของจำเลยไว้ทั้ง 3 คดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า วิธีการคุมประพฤติไม่เหมาะสมและใช้ไม่ได้ผลแก่จำเลย จึงให้ยกเลิกการคุมประพฤติและเปลี่ยนจากการรอลงโทษจำคุกจำเลยเป็นไม่รอการลงโทษ จำเลยอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 3 เดือน และปรับ 1,500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้2 ปี คุมประพฤติ 1 ปี โดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ3 เดือนต่อครั้งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 จำเลยไม่ไปรายงานตัวตามกำหนด ศาลชั้นต้นเห็นว่า วิธีคุมประพฤติไม่เหมาะสมและใช้ไม่ได้ผลแก่จำเลย จึงให้ยกเลิกการคุมประพฤติและเปลี่ยนโทษจากการรอการลงโทษจำคุกเป็นไม่รอการลงโทษ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำพิพากษาแล้วคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ย่อมเป็นที่สุดตามพระราชบัญญัติวิธีดำเนินการคุมประพฤติตามประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2522 มาตรา 17จำเลยจะฎีกาไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาจำเลยมาจึงไม่ชอบศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้ พิพากษายกฎีกาจำเลย