คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 532/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อศาลได้พิพากษาให้ริบรถยนต์แล้ว จึงได้มีการโอนรถยนต์นั้นมาเป็นของผู้เช่าซื้อ แล้วผู้เช่าซื้อได้โอนให้ผู้ร้องอีกทอดหนึ่ง ฉะนั้น รถยนต์ย่อมตกเป็นของแผ่นดินการโอนให้แก่กันภายหลังนั้น ผู้รับโอนย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ ฉะนั้น ผู้ร้องจึงไม่อยู่ในฐานะเป็นเจ้าของที่แท้จริงที่จะยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 เพราะขณะที่ศาลพิพากษาให้ริบรถยนต์ของกลาง รถยนต์นั้นยังเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่าซื้ออยู่

ย่อยาว

คดีนี้ เดิมโจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยทั้งสี่มีไม้หวงห้ามไว้ในครอบครองโดยบรรทุกอยู่ในรถยนต์ของจำเลยที่ 4 ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้และให้ริบของกลาง

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การรับสารภาพ จำเลยที่ 3 ที่ 4 ให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์แยกฟ้อง จำเลยที่ 3 ที่ 4 เป็นอีกคดีหนึ่ง แล้วพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความผิดตามฟ้อง วางโทษจำคุกคนละ 6 เดือน ปรับคนละ 2,000 บาท ลดโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 3 เดือน ปรับคนละ 1,000 บาท ให้รอการลงโทษจำคุกไว้คนละ 2 ปี ไม้และรถยนต์ของกลางให้ริบ

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า รถยนต์เป็นของผู้ร้อง ให้จำเลยที่ 4 ขอยืมไปบรรทุกข้าวเปลือก ผู้ร้องไม่ได้รู้เห็นในการกระทำผิดเรื่องนี้ ขอให้สั่งคืนรถยนต์ให้ผู้ร้อง

โจทก์แถลงคัดค้านว่า รถยนต์ของกลางเป็นของจำเลยที่ 4

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมจำเลยที่ 4 เช่าซื้อรถยนต์ของกลางมาจากห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกงเฮง สระบุรี ซึ่งเป็นเอเย่นต์ของบริษัทมิตซูบิชิ (ขณะเกิดเหตุ) ยังส่งเงินไม่ครบ ภายหลังศาลพิพากษาริบรถยนต์แล้ว จำเลยที่ 4 ได้โอนทะเบียนรถยนต์ของกลางจากบริษัทมิตซูบิชิมาเป็นชื่อของจำเลยที่ 4 แล้วจำเลยที่ 4 ได้โอนรถยนต์ของกลางใส่ชื่อนายสมพล โฉมวัฒนา ผู้ร้อง

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า บริษัทมิตซูบิชิผู้เป็นเจ้าของแท้จริงมิได้ดำเนินการร้องขอให้ศาลสั่งคืนรถยนต์ของกลางเสียก่อน ผู้ร้องไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริง ไม่มีสิทธิจะร้องขอคืนรถยนต์ของกลางต่อศาลได้ พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกาว่า ถ้าบริษัทมิตซูบิชิเจ้าของแท้จริงมีโอกาสขอรับทรัพย์คืนเหตุไฉนผู้ร้องจึงถูกจำกัดสิทธิในเรื่องนี้

ศาลฎีกาเห็นว่า ขณะที่ศาลพิพากษาให้ริบรถยนต์ของกลาง รถยนต์ยังเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทมิตซูบิชิผู้ให้เช่าซื้ออยู่ และเมื่อศาลสั่งริบแล้วรถยนต์ย่อมตกเป็นของแผ่นดิน การโอนให้แก่กันภายหลังนั้น ผู้รับโอนย่อมไม่มีกรรมสิทธิ์ ดังนั้น เมื่อศาลได้พิพากษาให้ริบรถยนต์แล้ว จึงได้มีการโอนรถยนต์มาเป็นชื่อของจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 4 ได้โอนใส่ชื่อผู้ร้องอีกทอดหนึ่งในวันเดียวกัน ผู้ร้องจึงไม่อยู่ในฐานะเป็นเจ้าของที่แท้จริงจะขอคืนรถยนต์คันนี้ไม่ได้

พิพากษายืน

Share