แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องพอสรุปได้ว่า จำเลยที่ 2 เข้าไปหลับนอนในบ้านของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ประพฤติชั่วเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรงจำเลยทั้งสองมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวเป็นที่ทราบกันทั่วไปซึ่งโจทก์จะได้เสนอหลักฐานในชั้นพิจารณา ดังนี้ เป็นคำฟ้องที่บรรยายถึงเหตุหย่าตาม ป.พ.พ. ม. 1516(2) แล้ว
การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภริยาให้จำเลยที่ 2 เข้าไปหลับนอนในร้านของจำเลยที่ 1 เมื่อโจทก์ไปพบก็มีการไปเจรจากันที่สถานีตำรวจโดยจำเลยที่ 1 ตกลงจะไปอยู่กินฉันสามีภรรยากับจำเลยที่ 2 แต่ตกลงกันเรื่องค่าเสียหายและการเลี้ยงดูบุตรไม่ได้ดังนี้ พฤติการณ์แสดงว่าจำเลยทั้งสองมีความสัมพันธ์กันในทางชู้สาว ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ประพฤติชั่วเป็นเหตุให้โจทก์อับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง ศาลกำหนดค่าทดแทนให้โจทก์ตามควรแก่พฤติการณ์ได้
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์และจำเลยที่ 1 หย่าขาดจากการสมรสโดยให้ไปจดทะเบียนหย่า ณ สำนักงานทะเบียนที่ว่าการอำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต หากจำเลยที่ 1 ไม่ยอมไป ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 จ่ายค่าทดแทนให้โจทก์ 30,000บาท พร้อมดอกเบี้ย ค่าทดแทนของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ให้ยกเสียศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “คดีคงมีปัญหาวินิจฉัยในข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า ฟ้องโจทก์บรรยายถึงเหตุหย่าตามกฎหมายหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องพอสรุปได้ว่าจำเลยที่ 2เข้าไปหลับนอนในบ้านของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ประพฤติชั่วเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง จำเลยทั้งสองมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวเป็นที่ทราบกันทั่วไป ซึ่งโจทก์จะได้เสนอหลักฐานในชั้นพิจารณาคำฟ้องของโจทก์จึงบรรยายถึงเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(2)แล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยที่ 1 ประพฤติชั่วเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรงหรือไม่ เห็นว่า โจทก์และร้อยตำรวจเอกไพวรรณพยานโจทก์เบิกความสอดคล้องต้องกันฟังได้ว่าวันเกิดเหตุโจทก์ได้ไปแจ้งความกับร้อยตำรวจเอกไพวรรณว่าจำเลยที่ 2ได้เข้าไปหลับนอนในร้านของจำเลยที่ 1 เมื่อร้อยตำรวจเอกไพวรรณกับพวกไปยังร้านจำเลยที่ 1 ก็พบจำเลยทั้งสองอยู่ในร้านนั้นจริง วันนั้นโจทก์กับจำเลยทั้งสองตกลงค่าเสียหายกันไม่ได้ ต่อมาร้อยตำรวจเอกไพวรรณได้เรียกโจทก์จำเลยทั้งสองไตกลงกันที่สถานีตำรวจ คู่กรณีตกลงกันในเรื่องค่าเสียหายไม่ได้ ปรากฏตามบันทึกเอกสารหมาย จ.3 ซึ่งตามเอกสารดังกล่าวระบุว่า โจทก์แจ้งว่าจำเลยที่ 2 ไปหลับนอนกับจำเลยที่ 1 ในบ้านของโจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์เรียกค่าเสียหาย25,000 บาท จำเลยที่ 2 ยอมชำระให้ 10,000 บาท แต่โจทก์ต้องรับบุตร4 คนไปเลี้ยงดู โจทก์ไม่ยอม จำเลยที่ 1 ตกลงไปอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยที่ 2 จะเห็นได้ว่าจำเลยทั้งสองมิได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาของโจทก์แต่อย่างใด เพียงแต่เกี่ยวในเรื่องค่าเสียหายเท่านั้น ตามพฤติการณ์จึงแสดงว่าจำเลยทั้งสองมีความสัมพันธ์กันในทางชู้สาว ถือได้ว่าจำเลยที่ 1ประพฤติชั่วเป็นเหตุให้โจทก์อับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง ที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่าลงชื่อในเอกสารหมาย จ.3 เพื่อให้เรื่องแล้วเสร็จกันไปนั้น เห็นว่าเป็นการผิดวิสัยของปกติชน เพราะเอกสารหมาย จ.3 ระบุข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นเหตุให้จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดต่อโจทก์ หากไม่เป็นความจริงจำเลยทั้งสองย่อมจะต้องทักท้วงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือหากจำเลยทั้งสองมีข้อต่อสู้ตามคำให้การและที่นำสืบมา จำเลยทั้งสองก็น่าจะต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบด้วย ข้อนำสืบของจำเลยทั้งสองจึงเป็นพิรุธ หลักฐานพยานโจทก์มีน้ำหนักมากกว่าหลักฐานพยานจำเลยฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้นอีก เช่นกัน
ฎีกาข้อสุดท้ายของจำเลยทั้งสองที่ว่าค่าทดแทนที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้โจทก์เป็นเงิน 30,000 บาทสูงเกินไปนั้น เห็นว่า ศาลล่างทั้งสองได้ใช้ดุลพินิจกำหนดค่าทดแทนให้โจทก์ตามควรแก่พฤติการณ์แล้ว ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงดุลพินิจของศาลล่างทั้งสอง”
พิพากษายืน