คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5256/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฎีกาของจำเลยมีใจความว่า ฟ้องโจทก์เป็นโมฆะ โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของและไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยนั้น ข้อฎีกาของจำเลยดังกล่าวมิใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยอำนาจฟ้องเพราะไม่มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิเป็นคู่ความได้หรือไม่ เมื่อจำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามฎีกา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ 4717เนื้อที่ 14 ไร่ 1 งาน 48 ตารางวา โดยนางท้วม อยู่หุ่นจดทะเบียนยกให้โจทก์ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2505 จำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินดังกล่าวทางด้านทิศใต้ปลูกบ้าน 2 หลัง และล้อมรั้ว 4 ด้าน รวมเนื้อที่ที่บุกรุก 127 ตารางวา โจทก์แจ้งให้จำเลยรื้อถอนบ้านและรั้วดังกล่าวออกไปหลายครั้ง จำเลยเพิกเฉยหากโจทก์นำที่ดินดังกล่าวให้บุคคลอื่นเช่าจะได้ค่าเช่าไม่ต่ำกว่าเดือนละ 5,000 บาท โจทก์จึงคิดค่าเสียหายเดือนละ 5,000 บาทนับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ขอบังคับให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินกับบริวารออกไปจากที่ดินโจทก์ หากจำเลยไม่ยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวก็ให้โจทก์มีอำนาจรื้อถอนโดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนและขนย้ายให้แก่โจทก์เป็นเงิน 40,200 บาท กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ5,000 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวออกไปจากที่ดินโจทก์
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเดิมเป็นที่ดินส่วนหนึ่งของหม่อมหลวงศิริ อิสระเสนา เดิมเป็นที่ดินริมทางรถไฟ ต่อมาทางราชการสร้างเป็นถนน ส่วนที่เหลือจากการสร้างถนน บิดาสามีจำเลยครอบครองต่อมาบิดาสามีจำเลยมอบการครอบครองให้แก่สามีจำเลยและจำเลย จำเลยเข้าครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาตั้งแต่ก่อนปี 2498 จำเลยเคยยื่นคำร้องขอต่อศาลจังหวัดนนทบุรีเพื่อขอแสดงกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ศาลจังหวัดนนทบุรีได้มีคำสั่งแสดงว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินคนละแปลงกับที่ดินของโจทก์ หากเป็นที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินให้โจทก์โจทก์ก็เพิ่งได้รับการยกให้ในปี 2505 โดยไม่เสียค่าตอบแทนจำเลยจึงเป็นผู้มีสิทธิดีกว่าโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 61 หมู่ที่ 5 ตำบลบางศรีเมือง อำเภอเมืองนนทบุรีจังหวัดนนทบุรี และบ้านไม่มีเลขที่พร้อมรั้วออกไปจากที่ดินพิพาทพร้อมบริวาร ให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะได้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในที่ดินพิพาทแล้วเสร็จ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณา จำเลยถึงแก่กรรม นายสุภาพ สระบัวนางโสภี สระบัว นางบุบผา กลิ่นหอมหรือสระบัว และนางสาวศรีสุดา สระบัวทายาทของจำเลยยื่นคำร้องขอให้นางบุบผา ซึ่งเป็นทายาทและผู้จัดการมรดกเข้าเป็นคู่ความแทนศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งอนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาว่า คำฟ้องของโจทก์เป็นโมฆะโจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของและไม่มีกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทในขณะที่ยื่นฟ้องคดีนี้ ก่อนที่ฟ้องเป็นคดีนี้ ศาลจังหวัดนนทบุรีได้มีคำพิพากษาให้จำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ฉะนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิโดยชอบธรรมใดที่จะใช้อำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลเป็นคดีนี้เนื่องจากโจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทนี้ กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตกเป็นของจำเลยโดยศาลจังหวัดนนทบุรีได้พิพากษาจำเลยจึงเป็นเจ้าของและมีกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยสมบูรณ์แต่ผู้เดียวตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดนนทบุรี เอกสารหมาย จ.2 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้วินิจฉัยว่าจำเลยยกการครอบครองปรปักษ์ต่อสู้โจทก์ไม่ได้ เพราะที่ดินพิพาทตกเป็นที่ธรณีสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505ก่อนแล้ว จำเลยจึงไม่เห็นพ้องด้วยนั้น ตามฎีกาของจำเลยตอนแรกมีใจความว่า ฟ้องโจทก์เป็นโมฆะโจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของและไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยนั้นเห็นว่า ข้อฎีกาของจำเลยดังกล่าวมิใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยอำนาจฟ้องแต่ประการใด เพราะไม่มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิเป็นคู่ความได้หรือไม่ ดังนี้ฎีกาข้อนี้ของจำเลยจึงมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อจำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามฎีกาส่วนฎีกาของจำเลยอีกตอนหนึ่งมีว่า จำเลยเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดนนทบุรีกับ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า จำเลยยกการครอบครองปรปักษ์ต่อสู้โจทก์ไม่ได้ เพราะที่ดินพิพาทตกเป็นที่ธรณีสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 จำเลยไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยส่วนนี้จำเลยหาได้กล่าวโต้แย้งข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายและเหตุผลให้ชัดแจ้งในฎีกาไว้แต่ประการใดไม่ ฎีกาของจำเลยจึงมิได้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาจำเลย คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดในชั้นฎีกาให้แก่จำเลย

Share