คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5193/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องฎีกาถือว่าเป็นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 1(3) จึงต้องแสดงให้ชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา และต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ฎีกาของจำเลยมิได้บรรยายถึงเนื้อหาแห่งคำฟ้อง คำให้การ คำพิพากษาศาลชั้นต้น และคู่ความฝ่ายที่อุทธรณ์ เมื่ออ่านโดยตลอดแล้ว ไม่อาจทราบได้ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยว่าอย่างไร จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าอย่างไร ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าอย่างไร ทั้งไม่อาจทราบได้ว่าข้อที่จำเลยยกขึ้นโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์นั้น เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นหรือไม่ ฟ้องฎีกาของจำเลยจึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172ประกอบด้วยมาตรา 246,247.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ด้วยความประมาท เป็นเหตุให้ชนรถยนต์โดยสารของโจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหาย
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ไม่ใช่ผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุ เหตุเกิดเพราะความประมาทของพนักงานขับรถของโจทก์ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 2จำเลยที่ 2 ไม่ใช่ผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุ เหตุเกิดเพราะความประมาทของพนักงานขับรถของโจทก์ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 2และไม่ได้กระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยจึงไม่ต้องรับผิดด้วย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน313,437 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่10 สิงหาคม 2526 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ให้จำเลยที่ 3 รับผิดในวงเงินไม่เกิน 250,000 บาท
จำเลยที่ 2 ที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 213,437 บาท พร้อมดอกเบี้ยใสอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2526 เป็นต้นไปจนหว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ฟ้องฎีกาเป็นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(3) ฉะนั้น จึงต้องแสดงให้ชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา และต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ 3 มิได้บรรยายถึงเนื้อหาแห่งคำฟ้อง คำให้การ คำพิพากษาศาลชั้นต้น และคู่ความฝ่ายที่อุทธรณ์ โดยบรรยายในฎีกาแต่เพียงว่า “คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย ค่าฤชาธรรมเนียมค่าทนายความแก่โจทก์ ดังปรากฏรายละเอียดในคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์แล้วนั้น ด้วยความเคารพต่อคำวินิจฉัยและคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์อย่างสูง จำเลยไม่เห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยและคำพิพากษาดังกล่าวดังจะได้ประทานกราบเรียนต่อศาลฎีกาดังต่อไปนี้” ต่อจากนั้นจึงได้โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์เฉพาะในข้อที่จำเลยที่ 2ที่ 3 ไม่เห็นด้วยซึ่งเมื่ออ่านฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ 3 โดยตลอดแล้วไม่อาจทราบได้เลยว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยว่าอย่างไร ทั้งไม่อาจทราบได้ว่าข้อที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ยกขึ้นโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์นั้น เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นหรือไม่ฟ้องฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 171 ประกอบด้วยมาตรา246, 247 ศาลฎีกาไม่อาจรับไว้วินิจฉัยได้
พิพากษาให้ยกฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ 3.

Share