แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ศาลชั้นต้นจะกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าเช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้และโจทก์รับโอนเช็คพิพาทมาจากจำเลยที่3โดยคบคิดกันฉ้อฉลหรือไม่เนื่องจากจำเลยที่1ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การและจำเลยที่2ได้อุทธรณ์คัดค้านคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นไว้ในชั้นอุทธรณ์แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่2ว่าจำเลยที่2มิได้ยกประเด็นดังกล่าวขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การจึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวมาใสศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้จำเลยมิได้ฎีกาโต้แย้งว่าที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยนั้นเป็นการไม่ชอบอย่างไรคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวจึงมีผลเท่ากับว่าจำเลยที่2ไม่ได้อุทธรณ์ประเด็นที่ว่าเช็คพิพาทไม่มีมูลและโจทก์รับโอนเช็คพิพาทมาจากจำเลยที่3โดยคบคิดกันฉ้อฉลในชั้นอุทธรณ์ต้องถือว่าประเด็นข้างต้นที่จำเลยที่2ยกขึ้นอ้างอิงในชั้นฎีกานั้นเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาที่ไม่ขอบที่จะรับไว้พิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คธนาคารกสิกรไทย มีจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อสั่งจ่าย จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสลักหลังค้ำประกันการสั่งจ่ายเช็คเพื่อชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 3 ต่อมาจำเลยที่ 3 ได้ลงลายมือชื่อสลักหลังและนำเช็คดังกล่าวมาแลกเงินสดจากโจทก์ ครั้นเมื่อถึงกำหนดวันสั่งจ่าย ธนาคารตามเช็คปฏิเสูธการจ่ายเงิน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 407,500 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี ในต้นเงิน 400,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์มิใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ได้รับเช็คพิพาทมาจากจำเลยที่ 3 โดยร่วมกันฉ้อฉลต่อจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงขอให้ธนาคารตามเช็คระงับการจ่ายขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยที่ 2ไม่เคยลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คพิพาท ลายมือชื่อสลักหลังดังกล่าวไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การรับว่า ฟ้องของโจทก์เป็นความจริงจำเลยที่ 3 ขอเวลาเจรจาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระหนี้ให้แก่โจทก์และจำเลยที่ 3 ไม่สามารถที่จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ทั้งหมดได้ทันที ขอผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินตามเช็คจำนวน 400,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน(วันที่ 10 ตุลาคม 2533) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยดอกเบี้ยก่อนฟ้องไม่เกิน 7,500 บาท
จำเลย ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า เช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้ และโจทก์รับโอนเช็คพิพาทมาจากจำเลยที่ 3 โดยคบคิดกันฉ้อฉลนั้น เห็นว่า แม้ศาลชั้นต้นจะได้กำหนดประเด็นข้อนี้ไว้เนื่องจากจำเลยที่ 1 ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การและจำเลยที่ 2จะได้อุทธรณ์คัดค้านคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นไว้ในชั้นอุทธรณ์แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2มิได้ยกประเด็นดังกล่าวขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้ จำเลยที่ 2 มิได้ฎีกาโต้แย้งว่าที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยนั้นเป็นการไม่ชอบอย่างไร คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวจึงมีผลเท่ากับว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้อุทธรณ์ประเด็นที่ว่า เช็คพิพาทไม่มีมูลและโจทก์รับโอนเช็คพิพาทมาจากจำเลยที่ 3 โดยคบคิดกันฉ้อฉลในชั้นอุทธรณ์ ต้องถือว่าประเด็นข้างต้นจำเลยที่ 2 ที่ 3 ยกขึ้นอ้างอิงในชั้นฎีกานั้นเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาที่ไม่ชอบจะรับไว้พิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยประเด็นข้อนี้ให้
พิพากษายืน