คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 509/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ลักษณะการจ่ายเงินค่าครองชีพซึ่งจ่ายเป็นรายเดือนโดยคำนวณจากอัตราค่าจ้างพื้นฐานมีลักษณะเป็นการจ่ายประจำและแน่นอนเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงานเช่นเดียวกับค่าจ้าง แม้จะจ่ายเพื่อช่วยเหลือในภาวะเศรษฐกิจที่มีค่าครองชีพสูงขึ้นก็ตามเงินค่าครองชีพก็เป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้าง และไม่ใช่เงินประเภทเดียวกันกับค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด ซึ่งไม่ไม่ถือว่าเป็นค่าจ้าง ดังนั้น เงินค่าครองชีพจึงเป็นค่าจ้างอันต้องนำมาคำนวณเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนด้วย
ส่วนเงินรางวัลประจำปีหรือโบนัสนั้น คณะกรรมการบริษัทนายจ้างจะไม่อนุมัติให้จ่ายในปีใดก็ได้ ทั้งการจ่ายก็มีความมุ่งหมายเพื่อเป็นรางวัลสำหรับความดีความชอบของลูกจ้างที่ทำงานมาด้วยดีและมีความประพฤติเหมาะสมเงินรางวัลประจำปีจึงมิใช่เงินที่นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างเป็นการตอบแทนการทำงาน ไม่เป็นค่าจ้างอันจะนำมาคำนวณเงินสบทบกองทุนเงินทดแทน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับหนังสือของแรงงานจังหวัดสระบุรี แจ้งว่า ได้ทำการประเมินเงินสมทบเพิ่มจากการตรวจบัญชีประจำปี โดยพิจารณาค่าจ้างจากเงินเดือนค่าครองชีพ และเงินรางวัลประจำปี เพื่อนำมาคำนวณเงินสมทบที่โจทก์จะต้องจ่ายจริงและสั่งให้โจทก์นำเงินสมทบเพิ่มเติมไปชำระ โจทก์ไม่เห็นด้วยกับการประเมินเงินสมทบดังกล่าวเพราะเงินค่าครองชีพและเงินรางวัลประจำปีมิใช่ค่าจ้าง นำมาคำนวณเป็นเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนไม่ได้ จึงได้อุทธรณ์คำสั่งต่อคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนและได้จ่ายเงินสมทบเพิ่มตามการประเมินเงินสมทบดังกล่าวแล้ว คณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ว่า การที่สำนักงานกองทุนเงินทดแทนนำเงินค่าครองชีพและเงินรางวัลประจำปีมาคำนวณเป็นเงินสมทบนั้นเป็นการชอบแล้ว ซึ่งโจทก์ไม่เห็นด้วย ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอน การประเมินเงินสมทบของแรงงานจังหวัดสระบุรี และเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนกับให้กรมแรงงาน จำเลยที่ 1 อธิบดีกรมแรงงาน จำเลยที่ 2 ร่วมกันคืนเงินสมทบที่โจทก์จ่ายเพิ่มเติมพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่โจทก์จ่ายไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จ

จำเลยให้การว่า การที่แรงงานจังหวัดสระบุรีได้นำเงินค่าครองชีพ และเงินรางวัลประจำปีที่โจทก์จ่ายให้แก่ลูกจ้างมาคำนวณเป็นเงินสมทบกองทุนทดแทนนั้นเป็นการชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้องโจทก์

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เงินช่วยค่าครองชีพและเงินรางวัลประจำปีที่โจทก์จ่ายให้แก่พนักงานของโจทก์ เป็นการจ่ายประจำและแน่นอนไม่มีทางยกเลิกไปได้ ย่อมถือรวมเป็นค่าจ้าง พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เงินค่าครองชีพนั้น ตามประกาศของโจทก์ได้กำหนดจ่ายเงินค่าครองชีพแก่พนักงานของโจทก์ โดยจ่ายเพิ่มให้เป็นเงินร้อยละของอัตราค่าจ้างปกติต่อเดือน ลักษณะการจ่ายเงินค่าครองชีพของโจทก์เป็นการจ่ายเป็นรายเดือนโดยคำนวณจากอัตราค่าจ้างพื้นฐาน มีลักษณะเป็นการจ่ายประจำและแน่นอนเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงานเช่นเดียวกับค่าจ้างนั่นเอง แม้จะจ่ายเพื่อช่วยเหลือในภาวะเศรษฐกิจที่มีค่าครองชีพสูงขึ้นก็ตาม ก็แสดงว่าการจ่ายค่าจ้างไม่สมดุลย์กับค่าครองชีพ จึงต้องเพิ่มค่าจ้างโดยเรียกว่าเงินค่าครองชีพให้เงินค่าครองชีพจึงเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างที่โจทก์จ่ายให้เป็นการตอบแทนการทำงานนั่นเอง ส่วนเงินค่าล่วงเวลาและเงินค่าทำงานในวันหยุดนั้น ค่าล่วงเวลา หมายความว่าเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นการตอบแทนการทำงานนอกเวลาทำงานปกติ และ ค่าทำงานในวันหยุด หมายความว่าเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้าง เป็นการตอบแทนการทำงานในวันหยุดสำหรับเงินค่าจ้างนั้น เป็นค่าตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน และหมายรวมถึงเงินที่จ่ายให้ลูกจ้างในวันหยุดซึ่งลูกจ้างไม่ได้ทำงานด้วย ฉะนั้น เงินค่าล่วงเวลาและเงินค่าทำงานในวันหยุดจึงแตกต่างกับค่าจ้างอย่างเห็นได้ชัดอีกทั้งลักษณะการจ่ายเงินดังกล่าวเป็นการจ่ายชั่วคราวและไม่สม่ำเสมอ และกฏหมายกำหนดให้จ่ายค่าล่วงเวลาและค่าทำงานในวันหยุดก็เพื่อมิให้นายจ้างเอาเปรียบลูกจ้างในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานเกินกว่าเวลาทำงานตามปกติที่กำหนดไว้ จึงได้แยกเงินทั้งสองประเภทออกจากค่าจ้าง

ส่วนเงินรางวัลประจำปีหรือเงินโบนัสที่โจทก์จ่ายแก่ลูกจ้างนั้น ตามนโยบายและระเบียบการบริหารงานบุคคลของโจทก์ปรากฏว่า คณะกรรมการบริษัทโจทก์จะเป็นผู้กำหนดอนุมัติอัตรารางวัลประจำปีเป็นปี ๆ ไป คณะกรรมการบริษัทโจทก์จะไม่อนุมัติให้จ่ายรางวัลประจำปีในปีใดก็ได้ ทั้งการจ่ายมีความมุ่งหมายเพื่อเป็นรางวัลสำหรับความดีความชอบของลูกจ้างที่ทำงานกับโจทก์มาด้วยดีและมีความประพฤติเหมาะสม เงินรางวัลประจำปีจึงมิใช่เงินที่โจทก์จ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นการตอบแทนการทำงาน ไม่เป็นค่าจ้างอันจะนำมาคำนวณเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนปรากฏว่าโจทก์ได้จ่ายเงินสมทบตามวิธีประเมินที่นำเงินรางวัลประจำปีหรือโบนัสมารวมเป็นค่าจ้างให้แก่สำนักงานกองทุนเงินทดแทน กรมแรงงาน จำเลยที่ 1 ไปแล้วจำเลยที่ 1 จึงต้องคืนเงินส่วนนั้นพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีแก่โจทก์ส่วนจำเลยที่ 2 เพียงแต่เป็นอธิบดีกรมแรงงาน จำเลยที่ 2 หาต้องรับผิดเป็นส่วนตัวในการคืนเงินสมทบที่สำนักงานกองทุนเงินทดแทนเรียกเก็บเกินมาแก่โจทก์ด้วยไม่

พิพากษาแก้ ให้เพิกถอนคำสั่งของแรงงานจังหวัดสระบุรีและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนที่ให้เรียกเก็บเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนเพิ่มเติมจากโจทก์เฉพาะส่วนที่คำนวณจากเงินรางวัลประจำปีหรือเงินโบนัส และให้จำเลยที่ 1 คืนเงินดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่โจทก์นำเงินมาจ่ายจนกว่าจะชำระแก่โจทก์เสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share