คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5086/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประเด็นที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับกรมธรรม์ประกันภัยมีเพียงว่า โจทก์รับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัยหรือไม่ เมื่อโจทก์นำสืบพยานบุคคลฟังได้แล้วว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยความเสียหายซึ่งเกิดขึ้นภายในสถานที่ประกอบการหรือเกิดขึ้นจากการใช้สถานที่ประกอบการไว้จากบริษัท พ. ผู้เอาประกันภัย การอ้างกรมธรรม์ประกันภัยเป็นพยานจึงเป็นเพียงนำสืบประกอบพยานอื่นในประเด็นเรื่องการรับช่วงสิทธิ ไม่ได้นำสืบบังคับตามกรมธรรม์ประกันภัยโดยตรง ดังนั้น แม้กรมธรรม์ประกันภัยจะไม่ได้ขีดฆ่าอากรแสตมป์ก่อนอ้างส่งเป็นพยาน ก็ย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 298,296 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 291,021 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 291,021 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2544 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันที่ 19 ตุลาคม 2544 ต้องไม่เกิน 7,275 บาท ตามที่โจทก์ขอกับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,500 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน โจทก์ไม่แก้อุทธรณ์จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า โจทก์ทำสัญญารับประกันภัยความเสียหายที่เกิดขึ้นภายในสถานที่ประกอบการหรือเกิดขึ้นจากการใช้สถานที่ประกอบการไว้จากบริษัทพัทยาปาร์ค บีช โฮเต็ล จำกัด ผู้เอาประกันภัย ซึ่งสถานที่ประกอบการของผู้เอาประกันภัยคือโรงแรมพัทยาปาร์ค บีช รีสอร์ท มีระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน 2543 ถึงวันที่ 28 มิถุนายน 2544 เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2543 ผู้เอาประกันภัยทำหนังสือสัญญาซื้อขายและติดตั้งลิฟต์และอะไหล่ลิฟต์กับจำเลยที่ 2 โดยให้จำเลยที่ 2 ติดตั้งลิฟต์โดยสาร 1 เครื่อง ณ อาคารหลังใหม่ (ทาวเวอร์วิง) และให้จำเลยที่ 2 ติดตั้งอะไหล่ลิฟต์พร้อมปรับปรุงลิฟต์แก้ว ณ อาคารหลังเก่า 2 เครื่อง จำเลยที่ 2 สั่งซื้อลิฟต์และอะไหล่ลิฟต์จากบริษัท พี.เจ. อินดัสตรี จำกัด โดยจำเลยที่ 2 ทำสัญญาว่าจ้างบริษัท พี.เจ. อินดัสตรี จำกัด ให้ทำการติดตั้งลิฟต์โดยสาร 1 เครื่อง และปรับปรุงลิฟต์แก้ว 2 เครื่อง ในโรงแรมพัทยาปาร์ค บีช รีสอร์ท แทนจำเลยที่ 2 ต่อมาบริษัท พี.เจ. อินดัสตรี จำกัด ว่าจ้างให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับเหมาช่วงเพื่อติดตั้งและปรับปรุงลิฟต์ดังกล่าว จำเลยที่ 1 ทำการปรับปรุงลิฟต์หมายเลข 2 ก่อน เมื่อปรับปรุงเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงเปิดให้บริการลิฟต์หมายเลข 2 ในวันที่ 26 ตุลาคม 2543 และปิดลิฟต์หมายเลข 1 เพื่อทำการปรับปรุง ต่อมาเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2543 เวลาประมาณ 17.45 นาฬิกา ลิฟต์หมายเลข 2 ที่เปิดใช้บริการเกิดอุบัติเหตุรูดลงมาจากประมาณชั้นที่ 4 ถึง 5 ลงมาชั้นที่ 1 สาเหตุเกิดจากมีผู้เข้ามาในลิฟต์มากเกินไป ซึ่งสวิทตช์โอเวอร์โหลดที่ทำหน้าที่ป้องกันลิฟต์บรรทุกน้ำหนักเกินเกิดขัดข้องไม่ทำงาน และระบบเบรกที่ตัวลิฟต์ทำการหนีบยึดรางลิฟต์ไว้ไม่ดีพอ ทำให้ลิฟต์รูดไหลลงมาหยุดที่ชั้น 1 เป็นเหตุให้บุคคลที่อยู่ภายในลิฟต์ได้รับบาดเจ็บ 12 คน โจทก์จ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลให้ผู้ได้รับบาดเจ็บดังกล่าวแทนผู้เอาประกันภัยแล้ว ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า คู่ฉบับกรมธรรม์ประกันภัยไม่ได้ขีดฆ่าอากรแสตมป์ก่อนอ้างส่งเป็นพยานต่อศาล ขัดต่อประมวลรัษฎากร มาตรา 118 จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ นั้น เห็นว่า ประเด็นที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับกรมธรรม์ประกันภัยมีเพียงว่า โจทก์รับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัยหรือไม่ เมื่อโจทก์นำสืบพยานบุคคลฟังได้แล้วว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยความเสียหายซึ่งเกิดขึ้นภายในสถานที่ประกอบการหรือเกิดขึ้นจากการใช้สถานที่ประกอบการไว้จากบริษัทพัทยาปาร์ค บีช โฮเต็ล จำกัด ผู้เอาประกันภัย การอ้างกรมธรรม์ประกันภัยเป็นพยานจึงเป็นเพียงนำสืบประกอบพยานอื่นในประเด็นเรื่องการรับช่วงสิทธิ ไม่ได้นำสืบบังคับตามกรมธรรม์ประกันภัยโดยตรง ดังนั้น แม้กรมธรรม์ประกันภัยจะไม่ได้ขีดฆ่าอากรแสตมป์ก่อนอ้างส่งเป็นพยาน ก็ย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share