แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การยอมความจะต้องประสงค์จะระงับข้อพิพาท มิใช่เพียงเป็นข้อตกลงโดยมีเงื่อนไขเพื่อนำไปสู่การระงับข้อพิพาท คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ โจทก์ร่วมและจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยตกลงกันว่า สัญญาประนีประนอมยอมความทำขึ้นเพื่อเป็นการระงับข้อพิพาทที่มีอยู่แล้วเวลานี้ทั้งในทางแพ่งและทางอาญา และที่จะมีขึ้นต่อไปในอนาคตของบุคคลผู้ที่เป็นคู่สัญญาซึ่งได้ลงนามไว้ท้ายสัญญานี้ และให้ถือเอาข้อความตามสัญญานี้มีผลเป็นการตกลงและยอมรับกันของคู่สัญญาทุกฝ่ายเกี่ยวกับคดีและได้รับส่วนแบ่งทรัพย์มรดกซึ่งได้กล่าวถึงคดีนี้ด้วย ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นการยอมความระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยและทายาทอื่นเพื่อระงับข้อพิพาท สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์และโจทก์ร่วมย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352, 353, 354 และสั่งให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่จำเลยกระทำผิดหน้าที่และยักยอกไปแก่กองมรดกด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายวิชาญ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 354 บทหนึ่ง และความผิดตามมาตรา 353 ประกอบมาตรา 354 อีกบทหนึ่ง เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 353 ประกอบมาตรา 354 เพียงบทเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุก 1 ปี และปรับ 6,000 บาท ข้อนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 8 เดือน และปรับ 4,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่จำเลยกระทำผิดหน้าที่และยักยอกไปแก่กองมรดก
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นควรหยิบยกฎีกาของจำเลยว่า สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์และโจทก์ร่วมระงับไปโดยการยอมความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) แล้วหรือไม่ ขึ้นวินิจฉัยก่อน ปัญหาดังกล่าวนี้จำเลยได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยให้ ทั้งที่เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ซึ่งศาลอุทธรณ์ยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ปัญหานี้ศาลฎีกาจะวินิจฉัยเสียก่อนว่าโจทก์ร่วมได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ เห็นว่า ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยยื่นคำแถลงว่า โจทก์ร่วมและจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันแล้ว สิทธิในการนำคดีมาฟ้องย่อมระงับไป ขอให้ศาลอุทธรณ์สั่งจำหน่ายคดี ศาลอุทธรณ์สั่งให้ศาลชั้นต้นสอบถามโจทก์และโจทก์ร่วมว่า ได้มีการทำสัญญาตามที่จำเลยแถลงหรือไม่ ในการสอบโจทก์และโจทก์ร่วมสองครั้งแรกไม่อาจสอบโจทก์ร่วมได้ ศาลชั้นต้นจึงได้ส่งหมายเรียกและสำเนาสัญญาประนีประนอมยอมความให้โจทก์ร่วมไปยังที่อยู่ตามที่ปรากฏในคำเบิกความของโจทก์ร่วมและตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ในหมายระบุด้วยว่าให้คัดค้านก่อนหรือในวันนัด มิฉะนั้นถือว่าไม่คัดค้าน ต่อมาถึงวันนัดโจทก์ร่วมไม่มาศาลและไม่คัดค้าน ศาลชั้นต้นส่งสำนวนคืนศาลอุทธรณ์ พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์ร่วมได้ทำสัญญาดังกล่าวกับจำเลยจริง
มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่า สัญญาดังกล่าวเป็นการยอมความหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปด้วยเหตุหลายประการ สำหรับความผิดต่อส่วนตัว สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปด้วยการถอนคำร้องทุกข์ ถอนฟ้อง หรือยอมความโดยถูกต้องตามกฎหมาย จากบทบัญญัติดังกล่าวคดีอาญาจึงอาจระงับด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งหรือหลายเหตุก็ได้ เช่นทั้งยอมความและถอนคำร้องทุกข์ อย่างไรก็ตามการยอมความจะต้องประสงค์จะระงับข้อพิพาท มิใช่เพียงเป็นข้อตกลงโดยมีเงื่อนไขเพื่อนำไปสู่การระงับข้อพิพาท สำหรับคดีนี้ได้ความว่า ภายหลังจากศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คดีอยู่ในระหว่างอุทธรณ์ โจทก์ร่วมและจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยตกลงกันว่า สัญญาประนีประนอมยอมความฉบับนี้ทำขึ้นไว้เพื่อเป็นการระงับข้อพิพาทที่มีอยู่แล้วเวลานี้ทั้งในทางแพ่งและในทางอาญา และที่จะมีขึ้นต่อไปในอนาคตของบุคคลผู้ที่เป็นคู่สัญญาซึ่งได้ลงนามไว้ท้ายสัญญานี้ และให้ถือเอาข้อความตามสัญญานี้มีผลเป็นการตกลงและยอมรับกันของคู่สัญญาทุกฝ่ายเกี่ยวกับคดีและได้รับส่วนแบ่งทรัพย์มรดกของนายสุรชัย เจ้ามรดกมีข้อความตามที่จะกล่าวต่อไปนี้ ซึ่งในข้อ 2 ของสัญญาดังกล่าวได้กล่าวถึงคดีนี้ด้วย และข้อตกลงยังกล่าวถึงการระงับคดีแพ่งที่ฟ้องร้องกันอยู่รวมทั้งข้อตกลงในการแบ่งทรัพย์และเงินอันเป็นมรดกระหว่างกัน ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นการยอมความระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยและทายาทอื่นเพื่อระงับข้อพิพาท สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์และโจทก์ร่วมย่อมระงับไป ตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น และคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองย่อมระงับไป โดยศาลฎีกาไม่จำต้องยกคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่พิพากษาลงโทษจำเลย
จึงให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ