คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 499/2501

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์กล่าวฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2496 โจทก์กับพวกได้เข้าหุ้นกันรับบุหรี่มาจำหน่าย และโจทก์ได้ขายบุหรี่แก่จำเลย จำเลยยังค้างชำระค่าบุหรี่อยู่12,036.05 บาทขอเรียกราคาบุหรี่ที่ค้าง ครั้นเวลานำสืบ โจทก์กลับนำสืบว่าที่โจทก์กับพวกเข้าหุ้นกันเช่นว่านั้นคือเมื่อ พ.ศ.2493(ไม่ใช่ พ.ศ.2496 ตามที่บรรยายในฟ้อง) เช่นนี้ ไม่กระทำให้คดีของโจทก์เสียไปอย่างใดเพราะเห็นได้ชัดว่าโจทก์ฟ้องคดีในฐานะส่วนตัวของโจทก์มิใช่ฟ้องในฐานะเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้น ข้อที่ว่าโจทก์จะได้เป็นหุ้นส่วนนั้นเมื่อใด จึงมิใช่เป็นประเด็นข้อแพ้ชนะในคดีนี้ และเป็นคนละเรื่องกับที่โจทก์ฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าบุหรี่ที่ค้าง

จำเลยปฏิเสธ

ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลล่างทั้งสอง ให้จำเลยทั้งสองชำระเงินค่าบุหรี่ที่ยังค้าง 12,036 บาท 05 สตางค์ให้โจทก์ รวมทั้งค่าธรรมเนียมและค่าทนาย

ข้อกฎหมายที่จำเลยฎีกาว่า ตามฟ้องโจทก์ว่า นายประสิทธิ์ ชูพินิจ ได้สิทธิการเป็นตัวแทนจำหน่ายบุหรี่ของโรงงานยาสูบกรมสรรพสามิต เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2496 นายประสิทธิได้เรียกหุ้นมีผู้เข้าหุ้น 16 หุ้น ค่าหุ้นละ 7,000 บาท โจทก์ได้เข้าหุ้นด้วย 1 หุ้นครึ่ง โจทก์กลับนำสืบว่า เมื่อ พ.ศ. 2493 นายประสิทธิได้รับสิทธิให้จำหน่ายบุหรี่ จึงเรียกหุ้น 16 หุ้น โจทก์ได้เข้าหุ้นด้วย 1 หุ้นครึ่ง เห็นได้ชัดว่า โจทก์นำสืบผิดเวลาและนอกฟ้องตั้ง 3 ปีนั้น

ข้อนี้ ศาลฎีกาพิจารณาเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องกล่าวชัดว่าหุ้นส่วนคนใดรับบุหรี่ของกลางหุ้นไปขายส่งช่วงมากน้อยเท่าใดหุ้นส่วนนั้นจะต้องรับผิดใช้ราคาบุหรี่ที่ได้รับไปให้แก่กลางหุ้นและว่าตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2496 ตลอดมาจนถึงวันที่ 11 ก.พ. 2497 จำเลยได้รับบุหรี่ตราต่าง ๆ จากโจทก์ฯลฯ เห็นได้ชัดว่า โจทก์ฟ้องคดีในฐานะส่วนตัวของโจทก์ มิใช่ฟ้องในฐานะเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นข้อที่ว่าโจทก์จะได้เป็นหุ้นส่วนเมื่อใด จึงมิใช่เป็นประเด็นข้อแพ้ชนะในคดีนี้ และเป็นคนละเรื่องกับที่โจทก์ฟ้อง ไม่กระทำให้คดีของโจทก์เสียไปอย่างใด

Share