คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4933/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาท มีเงื่อนไขเฉพาะวิธีการชำระราคาให้ชำระเป็นเช็ค 2 งวด หากผิดเงื่อนไขยอมให้ผู้ขายยึดรถคืนได้โดยไม่ได้ระบุว่าให้กรรมสิทธิ์โอนไปเมื่อผู้ขายได้รับชำระราคาครบถ้วน แล้ว เช่นนี้เป็นสัญญาซื้อขายเด็ดขาดกรรมสิทธิ์โอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่วันทำสัญญา เงื่อนไขยอมให้ผู้ขายยึดรถคืนได้เป็นเพียงข้อกำหนดวิธีการบังคับเมื่อเกิดกรณีผิดสัญญาเท่านั้นโจทก์ผู้ซื้อรถยนต์พิพาทจากผู้ซื้อเดิมโดยสุจริตย่อมได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์นั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อรถยนต์บรรทุกเล็กยี่ห้อมาสด้าหมายเลขเครื่อง พีบีวาย ๖๓๑๙๘ หมายเลขตัวถัง ๐๒๐๖๓๘ จากนายชัยวัฒน์ สมบูรณ์กุล และชำระราคาแล้ว วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๒๖จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ร่วมกันแจ้งต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองลำพูนว่านายชัยวัฒน์ชำระราคารถยนต์ให้จำเลยที่ ๑ ไม่ครบถ้วน ขอให้ยึดรถไว้ชั่วคราว วันที่ ๓๐มิถุนายน ๒๕๒๖ ระหว่างที่รถถูกพนักงานสอบสวนยึดไว้ จำเลยที่ ๑,๒, และ ๓ ร่วมกันจดทะเบียนรถยนต์ใส่ชื่อจำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าของเจ้าพนักงานรับจดทะเบียนให้เป็นหมายเลขทะเบียน ๔บ-๖๖๖๑กรุงเทพมหานคร แล้วร่วมกันให้จำเลยที่ ๔ ทำสัญญาเช่าซื้อรถคันดังกล่าวจากจำเลยที่ ๒ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายทำให้โจทก์เสียหายไม่อาจใช้รถได้เพราะ ไม่มีทะเบียนทำให้ขาดประโยชน์วันละ ๓๐๐ บาทขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันโอนทะเบียนและส่งมอบหลักฐานทะเบียนรถยนต์ให้แก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน และให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ให้การว่า รถยนต์พิพาทเป็นของบริษัทกิจกมลสุโกศล จำกัด ขายให้จำเลยที่ ๒ แล้วให้จำเลยที่ ๔เช่าซื้อต่อ และจำเลยที่ ๒ ฟ้องแย้ง ให้โจทก์ส่งมอบรถยนต์และค่าเสียหายให้แก่จำเลยที่ ๒
จำเลยที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ขอให้เรียกบริษัทกิจกมลสุโกศล จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า รถพิพาทเดิมเป็นของจำเลยร่วม จำเลยร่วมขายให้จำเลยที่ ๒ โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองรถพิพาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์มีสิทธิในรถพิพาทดีกว่าจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ซื้อรถพิพาทโดยไม่สุจริต ขณะทำสัญญารถพิพาทถูกยึดไว้ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองลำพูน โจทก์ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้จำเลยที่ ๒ โอนทะเบียนและส่งมอบหลักฐานทะเบียนรถยนต์หมายเลขทะเบียน ๔บ-๖๖๖๑ กรุงเทพมหานครให้แก่โจทก์โดยให้จำเลยทั้งสี่และจำเลยร่วมเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายหากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้จำเลยทั้งสี่และจำเลยร่วมร่วมกันชำระเงิน ๑๐,๘๐๐ บาท และชำระเงินวันละ ๕๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนถึงวันที่โจทก์ได้รับโอนทะเบียนและได้รับมอบหลักฐานทะเบียนรถพิพาทครบถ้วน
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า พฤติการณ์แสดงว่าจำเลยร่วมได้รู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ ๓ นำรถไปขายให้นายชัยวัฒน์ จำเลยร่วมจึงต้องผูกพันในกิจการที่จำเลยที่ ๓ ได้กระทำไป อย่างไรก็ดีเมื่อพิจารณาข้อความในสำเนาสัญญาซื้อขายรถพิพาท เอกสารหมาย จ.๗แล้ว ในตอนต้นของสัญญามีข้อความว่า “ข้าพเจ้านายชัยวัฒน์ สมบูรณ์กุล ได้ซื้อรถยนต์กระบะยี่ห้อมาสด้าสีน้ำตาลอ่อน… ในราคา ๑๐๑,๐๐๐ บาท…เงื่อนไขการชำระเงินแบ่งออกเป็น ๒ งวด” และในตอนท้ายของสัญญามีข้อความว่า”อนึ่งในกรณีไม่เป็นไปตามเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่ง ข้าพเจ้านายชัยวัฒน์ ยินยอมให้นำรถกลับคืนพร้อมยินยอมจ่ายค่าเสียหายทุกประการโดยไม่มีข้อโต้แย้ง” เห็นว่า ตามสัญญาดังกล่าวกำหนดการชำระราคารถพิพาทเป็นเช็คโดยแบ่งการชำระออกเพียง ๒ งวดทั้งมิได้ระบุว่าให้กรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาทโอนไปเมื่อผู้ขายได้รับชำระค่ารถยนต์ครบถ้วนแล้วแต่อย่างใด จึงถือได้ว่าเป็นสัญญาซื้อขายเด็ดขาดกรรมสิทธิ์ในรถพิพาทย่อมตกเป็นของนายชัยวัฒน์ตั้งแต่ขณะที่การซื้อขายสำเร็จแล้ว โจทก์เป็นผู้ซื้อรถพิพาทจากนายชัยวัฒน์โดยไม่ปรากฏว่ามีพฤติการณ์ต่อไปในทางไม่สุจริตโจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในรถพิพาท แม้ตามสัญญาซื้อขายระหว่างนายชัยวัฒน์กับจำเลยที่ ๓ จะมีเงื่อนไขให้ผู้ขายมีสิทธิเรียกรถพิพาทคืนก็เป็นเพียงการกำหนดวิธีการบังคับเมื่อเกิดกรณีผิดสัญญาขึ้นเท่านั้น และข้อตกลงดังกล่าวเป็นเรื่องภายในระหว่างนายชัยวัฒน์กับผู้ขายย่อมไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต
พิพากษายืน

Share