แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ผู้ร้องสอดและจำเลยทั้งสามได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาตามยอมแล้ว มีใจความสำคัญว่าโจทก์ตกลงซื้อที่พิพาททั้งโฉนดคืนจากจำเลยที่ 3 เป็นเงินจำนวนหนึ่ง โดยจะนำเงินมาวางศาลภายในกำหนด และจำเลยที่3 จะโอนที่ดินพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดให้โจทก์ เมื่อโจทก์นำเงินมาวางศาลตามกำหนด. จำเลยที่ 3 รับเงินจำนวนดังกล่าวไปแล้วแต่โอนที่ดินให้โจทก์ไม่ได้เพราะที่ดินถูกศาลสั่งอายัดไว้ในคดีอื่น. จำเลยที่ 3 จึงไม่เป็นฝ่ายผิดสัญญา แต่จำเลยที่ 3 ต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์เพราะสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวเป็นสัญญาต่างตอบแทน. เมื่อจำเลยที่ 3 ไม่เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกเอาค่าเสียหาย. แต่เมื่อคำพิพากษาได้อ่านหรือถือว่าได้อ่านให้จำเลยที่ 3 ฟังแล้วจำเลยที่ 3 ไม่ปฏิบัติตามคำบังคับถือว่าผิดนัด โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันผิดนัดดังกล่าวนั้นได้.
ย่อยาว
กรณีสืบเนื่องมาจากโจทก์ ผู้ร้องสอดและจำเลยทั้งสามได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาตามยอมแล้ว มีใจความสำคัญว่า โจทก์ตกลงซื้อที่พิพาททั้งโฉนดคืนจากจำเลยที่ 3 ในราคา 1,090,000 บาท โดยจะนำเงินมาวางศาลภายในวันที่ 30 เมษายน 2526 และจำเลยที่ 3 จะโอนที่ดินพิพาทพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดให้โจทก์
โจทก์ยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2526 โจทก์ได้วางเงินจำนวน 1,090,000 บาทต่อศาลแล้ว แต่การโอนที่ดินตามคำพิพากษาไม่สามารถทำได้เพราะศาลชั้นต้นในคดีหมายเลขดำที่ 157/2526 ได้มีคำสั่งอายัดห้ามโอนที่ดินดังกล่าว โจทก์มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาจึงขอรับเงินจำนวน 1,090,000 บาทคืนก่อน โดยขอวางหนังสือค้ำประกันของธนาคารแทน หากจำเลยพร้อมที่จะจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ธนาคารผู้ค้ำประกันจะวางเงินจำนวนดังกล่าวต่อศาลทันที จำเลยที่ 2ที่ 3 เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์กู้ยืมเงินจำนวนนี้มาต้องเสียดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี ขอให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 คืนเงินจำนวน 1,090,000 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่ 19 เมษายน 2526ถึงวันคืนเงินครบถ้วน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นฝ่ายผิดสัญญาชอบที่จะฟ้องเป็นคดีต่างหาก จะยื่นคำร้องเข้ามาในคดีหาได้ไม่ ให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 3 ไม่ใช่เป็นผู้ผิดสัญญาและสัญญาประนีประนอมยอมความมิได้มีข้อตกลงว่า ในกรณีที่โอนที่พิพาทให้โจทก์ไม่ได้เพราะติดอายัดให้ถือว่าจำเลยที่ 3 ผิดสัญญา หรือให้จำเลยที่ 3 คืนเงินค่าที่ดินให้โจทก์จนกว่าจะสามารถโอนให้โจทก์ได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ 3 คืนเงินแก่โจทก์ในขณะนี้ได้ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ ผู้ร้องสอดและจำเลยทั้งสามได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีตามยอมนั้นแล้วแม้ตามสัญญาจะระบุให้โจทก์ชำระเงินให้จำเลยที่ 3และให้จำเลยที่ 3 โอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ ปรากฏว่าสำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรสาครและศาลชั้นต้น มีคำสั่งอายัดห้ามโอนที่ดินพิพาทชั่วคราวเป็นเหตุให้จำเลยที่ 3 ไม่สามารถโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ จำเลยที่ 3 จึงไม่เป็นฝ่ายผิดสัญญาแต่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความอันเป็นสัญญาต่างตอบแทนเมื่อจำเลยที่ 3 ไม่สามารถโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ โจทก์คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะไม่ยอมชำระหนี้จนกว่าจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งจะชำระหนี้หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้ก็ได้ เหตุนี้การที่โจทก์นำเงินมาวางศาลเป็นการชำระหนี้ และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยที่ 3 รับไปแล้วทั้ง ๆ ที่จำเลยที่ 3 ไม่สามารถโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องเงินจำนวนนั้นคืนได้เมื่อยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยจงใจไม่ปฏิบัติตามสัญญา โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกเอาค่าเสียหายจากการที่โจทก์ต้องเสียดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี ในต้นเงินกู้ที่นำมาวางศาล แต่เมื่อคำพิพากษานี้ได้อ่านหรือถือว่าได้อ่านให้จำเลยที่ 3 ฟังแล้ว จำเลยที่ 3 ไม่ปฏิบัติตามคำบังคับถือว่าผิดนัด โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันผิดนัดดังกล่าวนั้นเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 3 จะชำระเสร็จ พิพากษากลับให้จำเลยที่ 3 คืนเงินจำวน 1,090,000 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันครบกำหนดตามคำบังคับเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้โจทก์วางหนังสือค้ำประกันของธนาคารว่าหากพร้อมที่จะโอนที่ดิน ธนาคารผู้ค้ำประกันจะวางเงินจำนวนดังกล่าวต่อศาล