คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4807/2529

แหล่งที่มา : ADMIN

ย่อสั้น

เหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีนั้นต้องเป็นเหตุที่เกี่ยวข้องกับคดีนั้นทั้งเรื่องมิใช่เหตุส่วนตัวของจำเลยคนใดคนหนึ่งดังนั้นการที่จะวินิจฉัยว่าจำเลยคนใดมีเจตนาบุกรุกหรือไม่จะต้องพิเคราะห์ถึงการกระทำของจำเลยแต่ละคนการที่จำเลยที่1เปิดประตูเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายด้วยตนเองต่อมาจึงเรียกจำเลยที่2และที่3ให้ตามขึ้นไปในภายหลังนั้นจะเห็นได้ว่าการกระทำของจำเลยแต่ละคนหาเกี่ยวข้องกันทั้งเรื่องไม่กรณีเป็นเหตุส่วนตัวของจำเลยแต่ละคนโดยแท้มิใช่เหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจก้าวล่วงเข้าไปวินิจฉัยถึงการกระทำของจำเลยที่1ว่าขาดเจตนาทุจริตและที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่1ด้วยนั้นไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2526 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันบุกรุกเข้าไปในบ้านซึ่งเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัยของนางธิติมาโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุสมควร แล้วร่วมกันลักสุรา 2 ขวด ราคา 60 บาท ของนายโสฬสเอ็งประเสริฐ ไปโดยทุจริต เหตุเกิดตำบลบ้านหอย อำเภอประจันตคาม จังหวัดปราจีนบุรีขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 364, 365, 83และให้จำเลยร่วมกันใช้ราคาทรัพย์ 60 บาทแก่ผู้เสียหาย จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานบุกรุกและลักทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364, 365 และ 335 จำคุกทั้งสองข้อหารวม 1 ปี 6 เดือนกับให้จำเลยที่ 1 ใช้ราคาทรัพย์ 60 บาทแก่ผู้เสียหายสำหรับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ที่ 3 ตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยทั้งสามขาดเจตนาในความผิดฐานบุกรุกและเป็นเหตุลักษณะคดี พิพากาาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ในข้อหาบุกรุก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โจทก์ฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามฟ้อง ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า การที่ศาลอุทธรณ์จะมีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ที่มิได้อุทธณณ์ให้มิต้องรับโทษเนื่องด้วยมีเหตุลักษณะคดีนั้น ต้องเป็นเหตุที่เกี่ยวข้องกับงคดีนั้นทั้งเรื่อง มิใช่เหตุส่วนตัวของจำเลยคนใดคนหนึ่งข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 1 เปิดประตูเข้ามาในบ้านผู้เสียหายด้วยตนเอง แล้วร้องเรียกจำเลยที่ 2 ที่ 3 ขึ้นมาบนบ้านด้วย การที่จะวินิจฉัยว่า จำเลยคนใดมีเจตนาบุกรุกหรือไม่ต้องพิเคราะห์การกระทำของจำเลยแต่ละคนไป ซึ่งข้อเท็จจริงในคดีนี้ การกระทำของจำเลยแต่ละคนหาเกี่ยวข้องกันทั้งเรื่องไม่ จึงนับเป็นเหตุส่วนตัวของจำเลยแต่ละคนโดยแท้ ศาลอุทธรณ์หามีอำนาจก้าวล่วงเข้าไปวินิจฉัยถึงการกระทำของจำเลยที่ 1 ว่าขาดเจตนาบุกรุกได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 จึงไม่ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา พิพากษาแก้เป็นว่าให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share