คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4796/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 1 พาผู้เสียหายซึ่งมีอายุ 17 ปีเศษไปให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 กับพวกผลัดกันข่มขืนกระทำชำเรานั้นจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดาโดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วยกรรมหนึ่ง และจำเลยที่ 1 ยังมีความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารอีกกรรมหนึ่งด้วย
แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายก็ตามแต่การที่จำเลยที่ 1 พาผู้เสียหายไปให้พวกของตนผลัดกันข่มขืนกระทำชำเราและรออยู่จนพวกของตนข่มขืนกระทำชำเราเสร็จแล้วจึงพาผู้เสียหายกลับไปนั้น ถือได้ว่าจำเลยที่1 ร่วมกับพวกกระทำผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง
เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 และมาตรา 318 โดยมิได้ระบุวรรคศาลฎีกาจึงระบุวรรคเสียให้ถูกต้องและเมื่อฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามมาตรา 284 วรรคแรก ตามฟ้องอีกด้วย ศาลฎีกาปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ให้ถูกต้องได้ แต่เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ไม่ได้เพราะโจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาขอให้เพิ่มโทษ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสี่กับพวก ร่วมกันพรากและพานางสาวนิตยา อายุ ๑๗ ปีเศษ ซึ่งเป็นผู้เยาว์ไปเสียจากความปกครองของนางสนิท มารดา เพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย แล้วจำเลยทั้งสี่กับพวกร่วมกันกระทำอนาจารนางสาวนิตยาโดยใช้กำลังประทุษร้ายแล้วผลัดกันข่มขืนกระทำชำเรานางสาวนิตยาโดยใช้กำลังประทุษร้ายและนางสาวนิตยาไม่สามารถขัดขืนได้อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖, ๒๗๘, ๒๘๔, ๓๑๘, ๙๑, ๘๓
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
นางสาวนิตยา โดยนางสนิท มารดา ผู้แทนโดยชอบธรรมผู้เสียหายขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๗๖, ๓๑๘, ๘๓ จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ มีความผิดตามมาตรา ๒๗๖, ๘๓ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ อายุ ๑๗ ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา ๗๕ ฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง จำคุกจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ คนละ ๑๐ ปี จำคุกจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ คนละ ๒๐ ปี ฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย จำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๕ ปี รวมเป็นโทษจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๑๕ ปี คำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ และที่ ๔ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ ได้นัดหมายกับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ และนายจิ้ม นายเดี่ยว นายมนูญ เพื่อที่จะข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วมและจำเลยที่ ๑ ได้พาโจทก์ร่วมไปให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ และนายจิ้ม นายเดี๋ยวกับนายมนูญ ข่มขืนกระทำชำเราตามที่ได้ตกลงนัดหมายกันไว้จริง จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ ได้พรากโจทก์ร่วมซึ่งมีอายุ ๑๗ ปีเศษ ไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารโดยโจทก์ร่วมไม่เต็มใจไปด้วย และแม้จำเลยที่ ๑ มิได้ร่วมข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วมด้วยก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ ๑ ได้พาโจทก์ร่วมไปยังที่เกิดเหตุ โดยหลอกลวงโจทก์ร่วมเพื่อให้ไปพบพวกของจำเลยที่ ๑ ตามที่ได้นัดหมายกันไว้ เมื่อพวกของจำเลยที่ ๑ ได้บังคับโจทก์ร่วมและพาไปข่มขืนกระทำชำเรา จำเลยที่ ๑ ก็ยังคงจอดรถจักรยานยนต์รออยู่เป็นเวลานานจนพวกของจำเลยที่ ๑ ได้ข่มขืนกระทำชำเราเสร็จสิ้นทุกคนแล้วจำเลยที่ ๑ จึงได้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับโจทก์ร่วมกลับมาส่งที่บ้าน ดังนี้ การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นการร่วมกับพวกของจำเลยที่ ๑ กระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วมอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ แล้วแต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๗๖ และจำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๘ โดยมิได้ระบุวรรคนั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้เสียให้ถูกต้อง และการกระทำของจำเลยที่ ๑ยังฟังได้ว่าเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๔ วรรคแรกตามฟ้องโจทก์อีกด้วย แต่โจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาขอให้เพิ่มโทษจำเลยที่ ๑ ศาลฎีกาจึงไม่อาจเพิ่มโทษจำเลยที่ ๑ ให้หนักไปกว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แต่เห็นสมควรปรับบทลงโทษจำเลยที่ ๑ เสียให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖ วรรคสอง และจำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๔ วรรคแรก และมาตรา ๓๑๘ วรรคสาม นอกจากที่แก้ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share