คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4792/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 กับพวกชกต่อยกับพวกผู้เสียหาย จำเลยกับพวกได้ดึง เอาปากกาและกระเป๋าของผู้เสียหายทั้งสองไป ได้พูดว่าอยากได้ของก็ตามมาเอา จำเลยที่ 1 กับพวกไม่ได้หลบหนีจนกระทั่งถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุม พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวที่มีการดึง ทรัพย์สินก็เป็นการหยามน้ำหน้ากันเท่านั้น เป็นการกระทำไปด้วยความคะนองเพื่อแสดงอวด ให้เพื่อนเห็นเท่านั้น จำเลยที่ 1 ไม่มีเจตนาเอาทรัพย์สินของผู้เสียหายทั้งสองไปโดยทุจริต จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา340, 83 ริบมีดของกลางและนับโทษจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 5 ต่อจากโทษจำคุกในคดีอื่น
จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339 วรรคสอง จำเลยที่ 1 อายุไม่เกิน 20 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 วางโทษจำคุก 5 ปีคำให้การของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 3 ปี 4 เดือน ริบมีดของกลาง ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2ถึงจำเลยที่ 5 และยกคำขออื่นด้วย
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ด้วยนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2527 เวลาประมาณ 13 นาฬิกา ขณะที่นายมานพประทุมแก้ว และนายประสาร ณ นิมิตร ผู้เสียหายทั้งสองซึ่งเป็นนักศึกษาวิทยาลัยเทคโนโลยีอาชีวศึกษา วิทยาเขตเพาะช่าง นั่งรถรถไฟอยู่ที่ชานชาลาสถานีรถไฟธนบุรีเพื่อเดินทางไปจังหวัดนครปฐม จำเลยทั้งห้าซึ่งเป็นนักเรียนโรงเรียนอินทรอาชีวศึกษาได้เข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังผู้เสียหายทั้งสอง จำเลยที่ 1 ได้กล่าวหาผู้เสียหายทั้งสองว่า ผู้เสียหายทั้งสองไปหาเรื่องเพื่อนจำเลยที่ 1 เมื่อนายมานพผู้เสียหายปฏิเสธ จำเลยที่ 1 ได้ล้วงเอามีดออกมาจากกระเป๋าย่ามทำท่าจะฟันนายมานพผู้เสียหาย จำเลยอื่นห้ามไว้ จำเลยที่ 1 จึงเก็บมีดและดึงเอาปากการ๊อดติ้งและกระเป๋าของนายมานพผู้เสียหายไป ปัญหาวินิจฉัยมีว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานชิงทรัพย์หรือไม่ เห็นว่า เหตุเกิดเวลากลางวันและสถานที่เกิดเหตุเป็นสถานีรถไฟธนบุรี โดยปกติจะมีผู้คนพลุกพล่าน จำเลยที่ 1 แต่งกายนักเรียน ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้ากระทำความผิดต่อหน้าคนจำนวนมาก นอกจากนั้น นายประสาร ณ นิมิตรผู้เสียหายคนหนึ่งเบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยที่ 2 ที่ 5 ว่าจำเลยที่ 1 กับพวกเมาสุราและเข้ามาหาพยานในลักษณะเป็นการหยามน้ำหน้าพระภิกษุสมคิด สังข์ทอง พยานโจทก์ซึ่งเห็นเหตุการณ์และขณะเกิดเหตุเป็นนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคดุสิต เบิกความตอบคำถามค้านว่า ในระยะที่เกิดเหตุนักเรียนอาชีวะมีเรื่องตีกันบ่อย และส่วนมากพบกันก็มักจะตีกัน ชกต่อยกัน ไม่มีเจตนาที่จะปล้นหรือจะฆ่ากัน ที่มีการดึงทรัพย์สินกันก็เป็นการหยามน้ำหน้ากันเท่านั้น ประกอบกับผู้เสียหายทั้งสองเบิกความว่า หลังจากจำเลยที่ 1 กับพวกดึงเอาปากกาและกระเป๋าของผู้เสียหายทั้งสองไปแล้ว ได้พูดว่าอยากได้ของก็ตามมาเอา และจำเลยที่ 1 กับพวกก็ไม่ได้หลบหนี คงอยู่ที่สถานรถไฟธนบุรีจนกระทั่งถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุม พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 กระทำไปด้วยความคะนองเพื่อแสดงอวดให้เพื่อน ๆเห็นเท่านั้น จำเลยที่ 1 ไม่มีเจตนาเอาทรัพย์สินของผู้เสียหายทั้งสองไปโดยทุจริต จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน.

Share