คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4758/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อ จ. ซึ่งเป็นผู้ดูแลที่ดินแทนโจทก์ได้ไปล้อมรั้วรุกล้ำเข้าไปในที่ดินพิพาทที่จำเลยทั้งสองปลูกบ้าน จำเลยที่ 1 และ ส.ซึ่งเป็นบุตรสาวจำเลยที่ 2 ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่า จ.ได้ขุดดินเพื่อฝังเสาจะทำรั้วรุกล้ำเข้ามาในที่ดินจำเลยทั้งสองครอบครองอยู่ และเจ้าพนักงานตำรวจได้เรียก จ. มาสอบถามแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องแย่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินทางแพ่ง จึงแนะนำให้ทั้งสองฝ่ายไปดำเนินคดีแพ่งเกี่ยวกับเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินก่อน และให้ทั้งสองฝ่ายลงลายมือชื่อไว้ในการไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจดังกล่าว ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองได้แสดงเจตนาครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตนเองอันเป็นการรบกวนและแย่งการครอบครองที่ดินของโจทก์ โจทก์ทราบการแสดงเจตนาดังกล่าวตั้งแต่วันที่ฝ่ายจำเลยไปแจ้งความเสียหาย และโจทก์ชอบที่จะฟ้องคดีเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนและเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในกำหนดหนึ่งปี นับแต่เวลาถูกรบกวนและถูกแย่งการครอบครอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1374,1375 แต่เมื่อโจทก์ฟ้องคดีเกินกำหนด 1 ปีแล้ว โจทก์จึงหมดสิทธิที่จะฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากจำเลยทั้งสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องทั้งสองสำนวนใจความว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินน.ส.3 ก. เลขที่ 3133 โดยบิดายกให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 อาศัยปลูกบ้านอยู่ในที่ดินดังกล่าวคนละประมาณ 1 งาน ก่อนโจทก์จะได้รับโอน โดยจำเลยทั้งสองยอมให้ค่าทดแทนเป็นรายปี ปีละ 200 บาท หลังจากโจทก์รับโอนแล้ว โจทก์ได้แจ้งจำเลยทั้งสองให้รื้อถอนบ้านออกไป แต่จำเลยทั้งสองไม่ยอม จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนบ้านเลขที่104 และเลขที่ 103/7 หมู่ที่ 9 ตำบลหนองบัว อำเภอหนองบัวจังหวัดนครสวรรค์ ออกไปจากที่ดินโจทก์ พร้อมส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ในสภาพปกติ ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินโจทก์อีกต่อไป หากจำเลยทั้งสองไม่ยอมรื้อถอนให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนเอง โดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การและแก้ไขคำให้การทำนองเดียวกันว่าจำเลยทั้งสองไม่เคยเช่าหรือเสียค่าตอบแทนใด ๆ ให้แก่บิดาโจทก์หรือโจทก์ แต่จำเลยทั้งสองครอบครองที่ดินตามเลขที่บ้านของตนเองมาเป็นระยะเวลาเกินกว่า 1 ปี โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 รื้อถอนบ้านเลขที่104 ให้จำเลยที่ 2 รื้อถอนบ้านเลขที่ 103/7 หมู่ที่ 4 (ที่ถูกหมู่ที่ 9) ตำบลหนองบัว อำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์ ออกไปจากที่ดินของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสองกับบริวารเข้าเกี่ยวข้องอีกต่อไป
จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คงมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อ 2 ของโจทก์ว่า การที่นางจินดาผู้ดูแลที่ดินพิพาทแทนโจทก์ไปล้อมรั้วในที่ดินพิพาทจำเลยที่ 1 และนางสุรินทร์บุตรสาวจำเลยที่ 2 ไปแจ้งความถือเป็นการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทหรือเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่ดินพิพาทแล้วหรือไม่ ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาจึงต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2530 นางจินดาพี่สาวโจทก์ซึ่งเป็นผู้ดูแลที่ดินแทนโจทก์ ไปล้อมรั้วรุกล้ำเข้าไปในที่ดินพิพาทจำเลยที่ 1 และนางสุรินทร์ คล้ายสมมุติ บุตรสาวจำเลยที่ 2ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอหนองบัวจังหวัดนครสวรรค์ ว่านางจินดาได้ขุดดินเพื่อฝังเสาจะทำรั้วรุกล้ำเข้ามาในที่ดินที่จำเลยทั้งสองครอบครองอยู่ เจ้าพนักงานตำรวจได้เรียกนางจินดามาสอบถาม แล้วเห็นว่าเป็นเรื่องแย่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินทางแพ่ง จึงแนะนำให้ทั้งสองฝ่ายไปดำเนินคดีแพ่งเกี่ยวกับเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินก่อน และให้ทั้งสองฝ่ายลงลายมือชื่อไว้ในการไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจดังกล่าวเห็นว่าการที่นางสุรินทร์บุตรสาวจำเลยที่ 2 เป็นผู้ไปแจ้งความก็ดีและการที่นางจินดาพี่สาวโจทก์ซึ่งเป็นผู้ดูแลที่ดินแทนโจทก์ไปให้ถ้อยคำโต้แย้งไว้ในบันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดีดังปรากฏในเอกสารหมาย ล.1 ก็ดี เป็นการทำแทนจำเลยที่ 2 และโจทก์ตามลำดับถือได้ว่าจำเลยทั้งสองได้แสดงเจตนาครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตนเองอันเป็นการรบกวนและแย่งการครอบครองที่ดินของโจทก์และโจทก์ทราบการแสดงเจตนาดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคม 2530 แล้วซึ่งโจทก์ชอบที่จะฟ้องคดีเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนและเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในกำหนดหนึ่งปี นับแต่เวลาถูกรบกวนและถูกแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1374, 1375แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2531 เกินกำหนด 1 ปีแล้วโจทก์จึงหมดสิทธิที่จะฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากจำเลยทั้งสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share